วันที่ 16 สิงหาคม 2567 จะมีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่
1.ขั้นตอน การประชุมสภาผู้แทนราษฎร โหวตเลือกนายกฯ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 159
ขั้นตอนที่ 1
แคนดิเดตนายกฯ ที่จะถูกสภาฯเสนอชื่อมาโหวต ต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 160
ต้องมีชื่ออยู่ในบัญชีของพรรคการเมืองตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 88 โดยจะต้องเป็นพรรคที่มี สส. 25 คนขึ้นไป
ผู้ที่ถูกเสนอชื่อ ต้องมี สส.รับรองไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจำนวนสมาชิกที่มีอยู่ของสภาฯ
ขณะนี้ สภาฯมี สส. 493 คน ดังนั้น จำนวนผู้รับรองในการเสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบ จะอยู่ที่ 50 คน
ขั้นตอนที่ 2
การลงมติเลือกนายกฯ ใช้วิธีการเรียกชื่อ สส.แต่ละคนตามลำดับอักษร และให้ สส.ลงคะแนนเลือกนายกรัฐมนตรี
ขั้นตอนที่ 3
สภาฯจะคัดเลือก สส.ขึ้นมาเป็นกรรมการนับคะแนน เพื่อความโปร่งใส
บุคคลที่จะได้เป็นนายกฯ จะต้องได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของสภาฯดังนั้น สภาฯ มี สส.ทั้งหมด 493 คน จึงต้องได้คะแนนเสียงตั้งแต่ 248 เสียงขึ้นไป จึงจะได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี
ขั้นตอนที่ 4
เมื่อมีการเห็นชอบบุคคลที่จะได้เป็นนายกฯแล้ว นายวันมูหะมัดนอร์มะทา ประธานสภาฯ จะเป็นผู้นำชื่อนายกฯ ขึ้นทูลเกล้าฯต่อไป
2.จุดยืนพรรคร่วมรัฐบาลเดิม
พรรคภูมิใจไทย
นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ยืนยันชัดเจนว่า จุดยืนเรื่องมาตรา 112 เป็นความเข้าใจร่วมกันของพรรคร่วมรัฐบาลตั้งแต่สมัยที่นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว โดยตกลงกันว่า จะเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ และไม่แตะต้องมาตรา 112
“ทางพรรคร่วมทุกพรรค ต้องออกมาแถลงร่วมกันว่า จะต้องไม่มีประเด็นแก้ไขมาตรา 112”
นายอนุทิน เปิดเผยว่า ที่ประชุมพรรคร่วมรัฐบาลเมื่อวานนี้ ยังคงยืนยันในพรรคร่วมรัฐบาลเดิมทั้งหมด
“พรรคภูมิใจไทยมีมติของตัวเองว่า จะสนับสนุนบุคคลที่พรรคเพื่อไทยพิจารณาแล้วว่า มีความเหมาะสม โดยที่เราบอกแล้วว่า ต้องไม่มีเรื่อง 112 ถ้ามีเรื่อง 112 ก็ไม่เหมาะสม” – นายอนุทินย้ำ
พรรคพลังประชารัฐ
นายสันติ พร้อมพัฒน์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ นำแถลงจุดยืน
ยืนยันว่า พรรคพลังประชารัฐสนับสนุนบุคคลในรายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย
“..พรรคพลังประชารัฐ ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เทิดทูนและธำรงซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
พรรคพลังประชารัฐยังคงมีจุดยืนที่ไม่เปลี่ยนแปลงที่จะไม่ร่วมกับพรรคที่มีนโยบายแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112
พรรคพลังประชารัฐ ยึดมั่นในนโยบายที่จะก้าวข้ามความขัดแย้ง เพื่อให้เกิดการส่งเสริมความปรองดองของคนในชาติ ให้มีความสามัคคี เพื่อแก้ไขปัญหาของพี่น้องประชาชน ในเรื่องเศรษฐกิจ และความเท่าเทียมรวมถึงจะพัฒนาประเทศชาติของเราต่อไปให้มีความเข้มแข็ง...”
ร.อ.ธรรมนัส ย้ำว่า “ยึดมั่นในนโยบายสำคัญที่จะไม่แตะเรื่อง 112 และก้าวข้ามความขัดแย้ง”
พรรครวมไทยสร้างชาติ
พรรครวมไทยสร้างชาติ ออกแถลงการณ์จุดยืน เรื่อง การจัดตั้งรัฐบาล
ยืนยันว่า สนับสนุนผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาลอันดับ 1
“พรรครวมไทยสร้างชาติ ยืนยันหลักการเดิม คือ จะต้องไม่มีการแก้ไขมาตรา 112 ประมวลกฎหมายอาญา และการป้องกันปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ
พรรครวมไทยสร้างชาติ ยืนยันที่จะดำเนินการต่างๆ ตามนโยบายดูแลประชาชนของกระทรวงเดิม ที่รับผิดชอบในรัฐบาลที่แล้วให้ดียิ่งขึ้น เพื่อประโยชน์ของพี่น้องประชาชนและประเทศชาติต่อไป”
นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ยืนยันว่า พล.อ.ประยุทธ์คงไม่กลับมา เพราะเป็นองคมนตรีแล้ว
“..การทำงานของรัฐบาลยังคงต่อเนื่อง เพียงแค่เปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีเท่านั้น รวมทั้งโควตาของรัฐมนตรีเท่าที่ทราบมาทุกพรรคก็ทำงานต่อเหมือนเดิม...
ส่วนนโยบายเรือธง โครงการดิจิทัล วอลเล็ต 10,000 บาท แม้ว่าก่อนหน้านี้พรรครวมไทยสร้างชาติจะกังวลว่านโยบายนี้ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ จนกระทั่งมีการชี้แจงจากคณะกรรมการกฤษฎีกา และกระทรวงการคลัง ว่าสามารถทำได้ อย่างไรก็ตาม ก็ต้องให้พรรคเพื่อไทยเป็นผู้ชี้แจงว่าจะมีปัญหาหรือทำต่อไปได้หรือไม่..” – นายพีระพันธุ์กล่าว
3.พรรคเพื่อไทย เสนอ อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ แกนนำพรรคเพื่อไทย ระบุว่า การประชุมสส.พรรคเพื่อไทย เห็นว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ควรได้รับการสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรี
4.หากพรรคเพื่อไทยมีมติเสนออุ๊งอิ๊ง บุคคลในบัญชีรายชื่อนายกฯพรรคพื่อไทย
หากไม่มีนโยบายที่จะผลักดันการแก้มาตรา 112 หรือก้าวล่วงสถาบันพระมหากษัตริย์ รวมถึงกฎหมายป้องกันปราบปรามการทุจริต
ก็เชื่อว่า น่าจะได้รับความเห็นชอบด้วยคะแนนเสียงจาก สส.พรรคร่วมรัฐบาลเดิม 314 เสียง
ท่วมท้น เกินกึ่งหนึ่งของ สส. ที่มีอยู่ปัจจุบันทั้งหมด 493 เสียง
5. หลังจากนี้ ก็คงจะมีข้อถกเถียงกันต่อไปอีกหลายประเด็น
ยกตัวอย่าง
คนโกงสอบเอนทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัย ถือว่ามีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ หรือไม่?
ธรณีสงฆ์อัลไพน์ ตอนนี้ทำไมยังเป็นสนามกอล์ฟของครอบครัวชินวัตรอยู่? ฯลฯ
แล้วนโยบายท้าทายกฎหมาย เสี่ยงคุกเสี่ยงตะรางหลายเรื่อง รอการตัดสินใจระดับนโยบายโดยผู้นำรัฐบาล อาทิ
โครงการดิจิทัล วอลเล็ต จะใช้เงินแผ่นดินกว่า 4.5 แสนล้าน จะยังเดินหน้าสร้างความเสียหายต่อการคลังแผ่นดินต่อไปอีกหรือไม่?
โครงการแก้กฎหมายให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ 99 ปี จะยังทำต่อหรือไม่ (อุ๊งอิ๊งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่เอสซีแอสเซท)?
การแก้สัญญาโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) เอื้อประโยชน์แก่เอกชน โดยแก้ไขปรับการจ่ายเงินที่ฝ่ายรัฐร่วมลงทุน (PIC) ให้เร็วขึ้น ตามความสำเร็จของงาน หรือสร้างไป-จ่ายไป จะเดินหน้าเห็นชอบโดย ครม. ภายใต้การนำของนายกฯ คนใหม่?
โครงการจัดซื้อจัดจ้าง โครงการขนาดใหญ่อีกมากมาย รอการตัดสินใจ หากเข้าข่ายผิดกฎหมาย หรือเอื้อประโยชน์แก่ใคร ผู้นำรัฐบาลต้องรับผิดชอบ
ฯลฯ
ทั้งหมดนี้ เป็นความรับผิดชอบโดยตรงของนายกฯคนใหม่ ในฐานะผู้นำ ครม. ว่าจะเดินหน้าอย่างไร ไม่ให้เอาขาข้างหนึ่งเข้าไปอยู่ในคุก
เชื่อว่า อดีตนายกฯเศรษฐาอาจจะดีใจ ที่ตนเองพ้นจากบ่วงกรรมเก้าอี้นายกฯ ออกไปก่อน
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี