เป็นไปตามคาด คือท่านนายกฯเศรษฐาถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2567 ฐานเป็นผู้กระทำผิดรัฐธรรมนูญ ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ เพราะเหตุที่ส่งเสริมคนที่ศาลฎีกามีคำสั่งถึงที่สุดให้จำคุกเรื่องถุงขนมเป็นรัฐมนตรี
แต่เป็นเรื่องที่ผิดความคาดหมายของพรรคเพื่อไทยและท่านนายกฯเศรษฐาเอง เพราะเหตุการณ์ก่อนหน้านั้นได้มีปรากฏการณ์ของความมั่นอกมั่นใจว่าจะอยู่รอดปลอดภัยในตำแหน่งนายกฯคนที่ 30 ดังนั้น จึงไม่มีการเตรียมการใดๆ เผื่อการตกเก้าอี้ไว้ ทุกอย่างยังคงเดินหน้าราวกับว่ารู้ผล
คำตัดสินล่วงหน้า ถึงขนาดยังมีนัดหมายออกตรวจงานในพื้นที่กรุงเทพมหานครในตอนค่ำวันที่ 14 สิงหาคม 2567
แต่ก็ต้องงดไป เพราะตกจากเก้าอี้เสียก่อน และในเวลาเดียวกันนั้นก็มีการจัดประชุมพรรคร่วมรัฐบาลเดิมขึ้นที่บ้านจันทร์ส่องหล้าเพื่อเตรียมจัดตั้งรัฐบาล โดยพรรคเพื่อไทยจะเป็นแกนจัดตั้งรัฐบาลต่อไป ซึ่งเป็นจังหวะก้าวต่อเนื่องจากการจัดดีลเขาใหญ่ที่บริหารจัดการโดยทุนพลังงานใหญ่ ที่คนไทยทั้งประเทศจ้องจะกินเลือดกินเนื้ออยู่
การจัดดีลเขาใหญ่นั้นสะท้อนให้เห็นว่าแกนนำระดับสูงของพรรคเพื่อไทยก็คำนวณเผื่อขาดเผื่อเหลือเอาไว้แล้วว่าท่านนายกฯเศรษฐาจะหลุดออกจากเก้าอี้จึงจัดดีลนี้ขึ้นเผื่อขาดเผื่อเหลือ โดยการเตรียมจัดตั้งรัฐบาลข้ามช็อตเอาไว้ก่อน โดยกอดขาพรรคภูมิใจไทยเอาไว้เป็นลำดับแรก
หะแรกนั้นผลการเลือกตั้งครั้งล่าสุดปรากฏว่าประชาชนไทยทั่วประเทศมอบฉันทามติให้พรรคก้าวไกลเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล โดยได้รับเลือกตั้งสูงสุดถึง 151 เสียง ซึ่งพรรคก้าวไกลก็ได้ใช้ความพยายามที่จะจัดตั้งรัฐบาลขึ้น แต่ในที่สุดฉันทามติของประชาชนนั้นก็ถูกทำลายลงโดยไสยศาสตร์ทางกฎหมาย ทำให้พรรคก้าวไกลไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้
และต่อมาก็ถูกศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้ยุบพรรคก้าวไกล และตัดสิทธิทางการเมืองกรรมการบริหารพรรคบางส่วน แต่ไม่ถึง 48 ชั่วโมง พรรคก้าวไกลก็ถ่ายจิตวิญญาณทางการเมืองไปสิงสถิตในพรรคประชาชน และมีประชาชนสมัครเข้าเป็นสมาชิกจำนวนคับคั่ง และได้บริจาคเงินสูงที่สุดถึง 20 ล้านบาทในวันเดียว ทำให้แผนประหารฝังวิญญาณพรรคก้าวไกลล้มเหลวลงอย่างสิ้นเชิง
เมื่อพรรคก้าวไกลจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ก็เป็นคิวของพรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาล และด้วยการสนับสนุนจากสองลุง พรรคเพื่อไทยก็จัดตั้งรัฐบาลสำเร็จ แต่ไม่ทันนานก็เกิดอาการแผลงฤทธิ์ ซึ่งเป้าหมายสำคัญก็คือการปรับคณะรัฐมนตรีเพื่อเอากระทรวงมหาดไทยและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มาดูแลเอง ทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นกับพรรคภูมิใจไทยและพรรคพลังประชารัฐ ถึงขนาดมีการใช้ไม้หน้าแปดฟาดประมุขบ้านป่ากลางพระนครให้ปรากฏมาแล้ว
แม้พรรครวมไทยสร้างชาติก็เช่นเดียวกัน ถูกมองว่ากำลังแหกคอกเพราะอวดอุตริคิดจะแก้ปัญหาน้ำมันและไฟฟ้า ดอดไปเจรจากับซาอุดีอาระเบียเพื่อขอซื้อน้ำมันราคาถูกมาแก้ไขราคาน้ำมันในประเทศเพื่อไม่ให้ประชาชนเดือดร้อน ซึ่งเป็นผู้จัดการดีลเขาใหญ่ยอมรับไม่ได้ จึงมีข่าวคราวที่จะปรับนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีหลายครั้ง
ดังนั้น รอยปริระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคภูมิใจไทย พรรคพลังประชารัฐ และพรรครวมไทยสร้างชาติจึงมีอยู่ในความเป็นจริงของการเมืองไทย แต่วิสัยพรรคเพื่อไทยนั้นเมื่อมีอำนาจรัฐแล้วก็ไม่ต้องการจะปล่อยวางให้หลุดมือไปได้ง่ายๆถึงแม้จะถูกยุบพรรคมาแล้ว และนายกรัฐมนตรีของพรรคจะตกเก้าอี้และถูกรัฐประหารมาแล้วถึงสองครั้งก็ตามก็ไม่มีทางที่จะเปลี่ยนความคิดความเชื่อที่จะยึดครองอำนาจรัฐไว้แต่พรรคเดียวไม่ได้
ดังนั้นเมื่อมีการเผื่อขาดเผื่อเหลือเตรียมจัดตั้งรัฐบาลข้ามช็อตจึงเกิดดีลเขาใหญ่ขึ้น และมีการต่อรองกันถึงขั้นนำเอากัญชาออกจากบัญชียาเสพติดและให้เสนอเป็นกฎหมายธรรมดา แต่ก็ยังไม่ได้เดินหน้าไปถึงไหน ทำให้พรรคภูมิใจไทยเสียหน้าเสียผู้เสียคนเป็นอันมาก
ดังนั้นเมื่อถึงกาลเวลาที่นายกฯเศรษฐาตกเก้าอี้ในช่วงเวลาประมาณสี่โมงเศษ หลังจากนั้นไม่ถึงสามชั่วโมงก็มีการเรียกประชุมพรรคร่วมรัฐบาลเดิมที่บ้านจันทร์ส่องหล้าซึ่งตอนแรกข่าวระบุว่านายทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้เรียกประชุมฉุกเฉิน แต่ต่อมาก็มีการแก้ว่าหัวหน้าพรรคเพื่อไทยเป็น
ผู้เชิญประชุมฉุกเฉิน
และเรื่องที่ประชุมก็มีเพียงสองเรื่อง คือพรรคเพื่อไทยจะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลต่อไป และให้ทุกพรรคการเมืองมีโควตากระทรวงต่างๆ ตามเดิม เปลี่ยนจากก่อนหน้านี้ที่จะมีการปรับกระทรวงกันอยู่ และใครเป็นรัฐมนตรีกระทรวงไหนก็ให้เป็นไปตามเดิม เว้นแต่เป็นความประสงค์ของพรรคเจ้ากระทรวงที่จะเปลี่ยนแปลงภายในกันเอง ทั้งนี้พรรคเพื่อไทยเสนอให้นายชัยเกษม นิติสิริ เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 ต่อจากนายเศรษฐา
ข่าวการประชุมพรรคร่วมรัฐบาลในเวลาผีตากผ้าอ้อมเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2567 จึงเป็นดังที่ว่านี้ แต่ไม่ทันถึงชั่วโมง สื่อมวลชนของฝ่ายอนุรักษ์ก็ออกข่าวว่าจะมีการสนับสนุนให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 แต่มิได้ระบุถึงการมีเสียงของรัฐบาลจำนวนเท่าใด แต่ก็ได้แสดงท่าทีของฝ่ายอนุรักษ์ว่าไม่ต้องการให้พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล อย่างน้อยที่สุดให้พรรคภูมิใจไทยเป็นรัฐบาลจะดีกว่า แต่กลับไม่มีท่าทีใดๆ ออกมาจากพรรคภูมิใจไทย
จนกระทั่งเช้าวันที่ 15 สิงหาคม 2567 ก่อนวันประชุมสภาผู้แทนเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีหนึ่งวันก็มีรายงานข่าวชัดเจนว่าพรรคประชาชนจะงดออกเสียงในการประชุมเลือกนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 ดังนั้น จึงทำให้คะแนนเสียงที่จะเลือกนายกรัฐมนตรีครั้งนี้ซึ่ง สว. ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง จะเป็นการแข่งขันกันระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคร่วมรัฐบาลอื่น โดยเฉพาะคือพรรคที่ระหองระแหงกันมาหรือมีแผลใจกันมาก่อน คือภูมิใจไทย พลังประชารัฐ รวมไทยสร้างชาติและประชาธิปัตย์
และในการโหวตเลือกนายกฯครั้งนี้ไม่จำเป็นที่จะต้องได้คะแนนเสียงถึง 251 เสียง เพราะเป็นการเลือกโดยถือเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร และถ้าจะแข่งกับพรรคเพื่อไทยก็เพียงรวมเสียงให้ได้มากกว่า 141 เสียง ก็สามารถเลือกนายกรัฐมนตรีได้แล้ว
และเมื่อดูจากคะแนนของพรรคภูมิใจไทย พลังประชารัฐ รวมไทยสร้างชาติ ประชาธิปัตย์แล้ว ถ้าหากพรรคประชาชนไม่ออกเสียง กลุ่มนี้ก็จะสามารถตั้งนายกรัฐมนตรีได้
ส่วนท่านนายกฯเศรษฐาเมื่อตกจากเก้าอี้โดยไม่คาดฝันเช่นนี้แล้วก็เป็นธรรมดาที่ต้องมีความเสียใจเป็นธรรมดา ดังนั้น ในฐานะที่เป็นผู้ที่พอใจสนับสนุนท่านนายกฯเศรษฐาอย่างเต็มที่มาแต่ก่อนก็ได้แต่แสดงความเสียใจกับท่าน และอย่างน้อยก็หวังว่าท่านจะคิดได้ว่าการเมืองนั้นไม่เหมือนกับการทำธุรกิจ จะอาศัยความรู้ความสามารถทางธุรกิจอย่างเดียวมาบริหารจัดการบ้านเมืองไม่ได้ ไม่เห็นหรือว่าขนาดนายทักษิณ ชินวัตร ที่จัดจ้านเพียงไหนก็ยังไม่วายที่ไม่มีแผ่นดินอยู่ถึง 18 ปี และถึงวันนี้ก็ยังร้อนอกร้อนใจไม่หาย
นั่นก็เพราะว่าขาดกุนซือทางการเมือง จึงไม่สามารถรักษาอำนาจรัฐได้ และไม่สามารถใช้อำนาจรัฐครองใจปวงประชาได้ กลับต้องถูกกำจัดออกจากอำนาจโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวอย่างนี้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี