นายกฯ ที่ถูกทักษิณบงการชี้นำ จบไม่สวยเลยสักราย
แพทองธาร ชินวัตร ก็คงเหมือนกัน ถ้าหลงคิดว่าบิดาของตนคือความถูกต้อง ไม่ยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง น่าสงสารชะตากรรมจะเลวร้ายยิ่งกว่าญาติผู้ใหญ่ที่ประสบมา
1. ด้วยความปรารถนาดี เมื่อเป็นนายกรัฐมนตรี ถืออำนาจบริหารราชการแผ่นดิน
อำนาจมาพร้อมหน้าที่ และความรับผิดชอบ
จะพูด จะทำ จะแสดงออก จะคิดอ่าน เหมือนเดิมที่เคยเป็น ไม่ได้
ถ้ายังไม่ตระหนัก นั่นคือความเสี่ยงแรก
ไม่รู้ตัวว่ากำลังเสี่ยง กำลังเล่นกับไฟ
ถ้าคิดว่า กูใหญ่ ไม่มีใครเอากูลง ก็ขอให้ดูบิดาเป็นตัวอย่าง ต้องเร่ร่อนไปต่างประเทศกี่ปี และลูกสมุนติดคุกไปกี่คน ตายกี่คน ถ้าเข้าอีหรอบเดิมด้วยความลำพองใจ คราวนี้ คนที่ตายและติดคุกจะไม่ใช่แค่ลูกสมุนแน่นอน
2. เริ่มตั้งแต่การเลือกบุคคลมาเป็นรัฐมนตรี
จะต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์
จากบรรทัดฐานศาลรัฐธรรมนูญในคดีอดีตนายกฯเศรษฐา ต้องพ้นจากเก้าอี้เพราะไปเลือกนายพิชิตขึ้นมาเป็นรัฐมนตรี โดยรู้หรือควรรู้ว่าเคยมีคดีถุงขนม ติดคุก
นายกฯอุ๊งอิ๊งต้องรู้ หรือควรรู้ จะอ้างว่าไม่มีประสบการณ์ไม่ได้
อ้างว่าไม่ช่ำชองเรื่องนิติศาสตร์หรือรัฐศาสตร์ ก็ไม่ได้
อาจารย์วิษณุ เครืองาม อดีตที่ปรึกษานายกฯเศรษฐาก็ถอดบทเรียนไว้ให้แล้วว่า ต่อไปนี้ การเลือกบุคคลมาเป็นรัฐมนตรีจะต้องทำอย่างไร
“..ต้องตรวจสอบ แม้กระทั่งความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ก็ต้องตรวจสอบ ถือเป็นบรรทัดฐาน
ซึ่งอาจจะไม่ใช่บรรทัดฐานใหม่ เพราะเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญ
แต่วิธีตรวจสอบต่อไปนี้ ก็อาจจะต้องเข้มงวดขึ้น
เวลาสอบถามประวัติ อาจจะต้องถามมากกว่านี้ อาจจะต้องเงี่ยหูสดับตรับฟังว่ามีข่าวลืออะไรหรือไม่ และตรวจสอบ
...ศาลพูดว่าผู้ถูกร้องจะบอกว่าไม่รู้ไม่ได้ เพราะวิญญูชนทั่วไปเขายังรู้
..เรื่องของจริยธรรมมันไม่ได้เกี่ยวกับอายุความ ซึ่งของนายพิชิต 15 ปีมาแล้ว...” - นายวิษณุ เครืองามกล่าว
3. เพราะฉะนั้น ถ้านายกฯแพทองธาร หลังรู้หรือควรรู้ว่าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยวางบรรทัดฐานไว้ชัดเจนแล้ว ยังจะไปเลือกเอาบุคคลที่เคยต้องโทษจำคุกคดีร้ายแรง
ไม่ว่าจะในประเทศหรือต่างประเทศ
ไม่ว่าจะนานเกิน 10 ปีแล้ว หรือไม่
หรือบุคคลที่มีประวัติด่างพร้อย วิญญูชนพึงรู้ว่าแบบนี้ “ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์”
ถ้ายังฝืนทำเช่นนั้น ไม่ว่าจะด้วยใบสั่งใคร หรือจะอ้างว่าเป็นโควตาพรรคร่วม ก็ไม่ได้
เพราะตนเอง คือ นายกรัฐมนตรี ผู้ต้องรับผิดชอบตามกฎหมายในฐานะผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
ถ้าฝืนทำ แล้วถูกร้องตรวจสอบ ก็อย่าไปโทษใครอื่น ต้องโทษตัวเองเท่านั้น
4. นายกฯ อุ๊งอิ๊ง ควรฟังให้มาก
ไม่ใช่คิดว่าตัวเองเก่ง แล้วกร่าง
ซึ่งจริงๆ ไม่ได้เก่ง แต่ได้เป็นนายกฯ เพราะอะไร ควรจะรู้ตัวเองดี
อย่าได้ทำแบบที่ออกมาวิจารณ์ธนาคารแห่งประเทศไทยอีก เพราะครั้งนั้น ก็เสียผู้เสียคนไปรอบหนึ่งแล้ว
อุตส่าห์ท่องวลีเด็ดมา “ความเป็นอิสระของแบงก์ชาติเป็นอุปสรรคต่อการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ”
ถูกสังคมตอกกลับ เสียผู้เสียคน เพราะต้นทุนประสบการณ์ความรู้ เทียบไม่ได้กับนักศึกษาฝึกงานธนาคารแห่งประเทศไทย
5. เมื่อถูกขุดคุ้ยเรื่องความหลังที่อื้อฉาว สิ่งที่นายกฯ อุ๊งอิ๊งควรทำ คือ ชี้แจง และแก้ไข
ไม่ใช่วิ่งหนีเงาตัวเอง และอาฆาต
ยกตัวอย่าง
5.1 “ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร” อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ เคยโพสต์ให้ข้อมูลเชิงวิพากษ์ ว่าด้วยเรื่อง “ข้อสอบเอ็นทรานซ์รั่วเมื่อปี 2547”
ปมปริศนาความไม่เสมอภาค และความอยุติธรรมทางการศึกษาในปี พ.ศ.2547
ในปีนั้น นายกฯ ชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร”
ลูกสาว คือ “แพทองธาร” บังเอิญสอบเอนทรานซ์เข้าเรียนคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ
โดยผลคะแนนสอบ 2 ครั้ง ต่างกันลิบ
ศ.ดร.ไชยันต์ใช้คำว่า “คะแนนสูงมหัศจรรย์”
เปรียบเทียบคะแนนสอบทั้ง 2 ครั้ง
“ภาษาไทย” จาก 52 เพิ่มเป็น 72
“สังคม” จาก 41.25 เพิ่มเป็น 67.5
“ภาษาอังกฤษ” จาก 64 เพิ่มเป็น 84
และ “คณิตศาสตร์ 2” จาก 27 เพิ่มเป็น 63
“ศ.ร.ต.อ.วรเดช จันทรศร” เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) ในขณะนั้น ยอมรับในภายหลังว่า “เปิดซองข้อสอบ” วิชาภาษาไทย และสังคมศึกษาจริง ก่อนส่งให้คณะอนุกรรมการพิมพ์ข้อสอบ
โดยอ้างว่า มีบัตรสนเท่ห์ระบุว่าข้อสอบรั่วไปที่สถาบันกวดวิชา จึงต้องสืบในทางลับ โดยนำกล่องข้อสอบมาเก็บไว้เอง และที่ต้องเปิดซองข้อสอบ เพื่อตรวจสอบดูว่าข้อสอบรั่วจริงหรือไม่
ผลสอบของคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง ชุดที่ “นายสุเมธ ตันติเวชกุล” เป็นประธาน ก็สรุปชัดเจนว่า “ข้อสอบรั่ว”
เพียงแต่ไม่มีหลักอะไรไปยืนยันว่า รั่วไปให้ใคร
ทว่าผลคะแนนสอบทั้ง 2 ครั้งของลูกสาวนายกฯ กระโดดสูงขึ้นไปอย่างมีนัยสำคัญ
5.2 ธรณีสงฆ์อัลไพน์
สนามกอล์ฟอัลไพน์ ตั้งบนธรณีสงฆ์
อยู่ในความครอบครองของบริษัทที่ครอบครัวชินวัตรเป็นเจ้าของ
อุ๊งอิ๊ง เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่
นายกฯ อุ๊งอิ๊งจะแสดงความรับผิดชอบ จัดการอย่างไร?
การครอบครองที่ธรณีสงฆ์ หาผลประโยชน์ทางธุรกิจ ย่อมไม่ใช่การแสดงออกซึ่ง “ความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์”
นายกฯ อุ๊งอิ๊งย่อมรู้ หรือควรรู้ ว่าที่ดินธรณีสงฆ์สนามกอล์ฟอัลไพน์มีความเป็นมาอย่างไร และเคยมีคำพิพากษาของศาลถึงที่สุด อย่างไร?
คนเซ็นติดคุกไปแล้ว พ้นโทษออกมาแล้ว
แต่คนถือครองยังลอยหน้าลอยตาอยู่
ที่ดินแปลงนี้ คุณยายเนื่อม ชำนาญชาติศักดา ทำพินัยกรรมยกให้วัดธรรมิการามวรวิหาร แต่นักการเมืองกับพวก อาศัยอำนาจรัฐ เล่นแร่แปรธาตุ โอนให้มูลนิธิ ก่อนขายต่อให้บริษัทอัลไพน์
ขณะนั้น คนใกล้ชิดนายเสนาะ เทียนทอง เป็นเจ้าของบริษัท
ต่อมา ปี 2542 ขายต่อให้ครอบครัวของอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร จนถึงปัจจุบัน
เรื่องนี้ ทำให้นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ ต้องติดคุก
โดยในเดือนก.พ. ปี 2544 กฤษฎีกายืนยันว่าที่ดินอัลไพน์เป็นธรณีสงฆ์
20 ธันวาคม 2544 นายสมศักดิ์ เอี่ยมไธสง รองอธิบดีกรมที่ดิน สั่งเพิกถอนการจดทะเบียนที่ดิน
ขณะนั้น ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกฯ อำนาจคับบ้านคับเมือง และครอบครัวชินวัตรเองก็ครอบครองธรณีสงฆ์สนามกอล์ฟอัลไพน์อยู่
นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองปลัดมหาดไทยขณะนั้น อาศัยอำนาจรักษาการปลัดมหาดไทย เพิกถอนคำสั่งรองอธิบดีกรมที่ดิน เอื้อประโยชน์แก่บริษัทของครอบครัวนายทักษิณ
หลังจากนั้น นายยงยุทธก็ได้ดิบได้ดี ได้ขึ้นเป็นปลัดมหาดไทย เกษียณแล้วยังได้มาเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และเป็นรัฐมนตรีมหาดไทย ยุครัฐบาล “ทักษิณคิด
เพื่อไทยทำ”
แต่หลังจากนั้น เมื่อกรรมตามทัน ก็ถูก ป.ป.ช.ชี้มูล
ถูกฟ้องคดีต่อศาลปราบโกง ศาลพิพากษาลงโทษจำคุก 2 ปี
ศาลอุทธรณ์คดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นจำคุก 2 ปี นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ ฐานใช้อำนาจหน้าที่โดยทุจริต คดีถึงที่สุดแล้ว ศาลฎีกาไม่รับฎีกา
ศาลชี้ว่า นายยงยุทธปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต เอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มบริษัทอัลไพน์และนายทักษิณ แสวงหาผลประโยชน์ต่างตอบแทน หวังให้ได้รับการแต่งตั้งดำรงตำแหน่งระดับสูงในภายหลัง การกระทำของนายยงยุทธ เป็นการทำลายศรัทธาผู้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนาอย่างคุณยายเนื่อม
ปัจจุบัน เจ้าของบริษัทที่ครอบครองสนามกอล์ฟธรณีสงฆ์อัลไพน์ ก็คือ ครอบครัวชินวัตรนั่นเอง
นายกฯ อุ๊งอิ๊งควรจัดการเรื่องนี้ให้ถูกต้อง เรียบร้อย ให้สมกับการเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย
อย่าซุกธรณีสงฆ์ไว้ใต้สนามกอล์ฟ เป็นบาปกรรม และเป็นปมกฎหมายที่รอการสะสางชั่วลูกชั่วหลานตลอดไป
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี