เมื่อสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ พระเจ้าอู่ทอง จากราชวงศ์อู่ทอง สถาปนากรุงศรีอยุธยาและขึ้นครองราชย์ในปีพุทธศักราช ๑๘๙๓ นั้น พระองค์ได้โปรดเกล้าฯให้สมเด็จพระราเมศวรซึ่งเป็นพระราชโอรสไปครองเมืองลพบุรี และขณะเดียวกันก็โปรดเกล้าฯให้สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ (ขุนหลวงพะงั่ว) ซึ่งเป็นพระเชษฐาธิราชของพระมเหสีที่มาจากราชวงศ์สุพรรณภูมิไปครองเมืองสุพรรณบุรี
หลังจากครองราชย์ไม่นานนัก พระองค์ทรงเห็นว่าขอมแปรพักตร์ อาณาจักรอยุธยาจึงควรจะเข้าไปปราบปรามและยึดครองอาณาจักรกัมพูชาที่ขอมปกครองอยู่ จึงให้สมเด็จพระราเมศวรยกทัพมีกำลังพล ๕,๐๐๐ คนไปตีนครธมซึ่งเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรกัมพูชาที่เจริญรุ่งเรืองมายาวนาน เพื่อเป็นการแสดงพระราชอำนาจและขยายอาณาจักรให้กว้างใหญ่ยิ่งขึ้น
สมเด็จพระราเมศวรจึงยกทัพเพื่อไปรบกับอาณาจักรกัมพูชา แต่กลับปรากฏว่าทัพของพระองค์ได้ถูกโจมตีโดยพระยาอุปราช พระราชโอรสในพระบรมลำพงษ์ราชาพระเจ้ากรุงกัมพูชาธิบดี จนทัพหน้าของกรุงศรีอยุธยาแตกพ่าย แล้วเข้าปะทะกับทัพหลวงของสมเด็จพระราเมศวร
สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ พระเจ้าอู่ทองจึงมีพระบรมราชโองการให้ไปเชิญขุนหลวงพะงั่วให้ยกทัพไปช่วยสมเด็จพระราเมศวร การศึกครั้งนี้ยืดเยื้อเป็นระยะเวลา ๑ ปี จึงสามารถเอาชนะทัพของกรุงกัมพูชาได้สำเร็จ กวาดต้อนชาวกัมพูชาเข้ามาอยู่ในกรุงศรีอยุธยาได้เป็นจำนวนมาก
หลังจากพระเจ้าอู่ทองสวรรคตในปีพุทธศักราช ๑๙๑๓ สมเด็จพระราเมศวรได้เสด็จจากเมืองลพบุรีมายังกรุงศรีอยุธยา และกระทำพิธีราชาภิเษกขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๒ แห่งกรุงศรีอยุธยา ในขณะที่มีพระชนมพรรษาได้ ๓๐ พรรษา
ความขัดแย้งภายในระหว่างราชวงศ์อู่ทองและราชวงศ์สุพรรณภูมิคงจะมีอยู่ และน่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้หลังจากที่สมเด็จพระราเมศวรครองราชย์ได้เพียง ๑ ปี ขุนหลวงพะงั่วผู้เป็นพระมาตุลาก็ได้ยกกองทัพจากเมืองสุพรรณบุรีมายังกรุงศรีอยุธยา เนื่องจากเห็นว่าสมเด็จพระราเมศวรมีปัญหาในเรื่องการเมือง การปกครอง ประชาชนเกิดความแตกแยก เกิดความวุ่นวายไม่มีความสงบสุข ทั้งยังไม่มีความสามารถในด้านการรบเพื่อจะรักษาบ้านเมือง จึงเข้ายึดอำนาจจากพระราเมศวรแล้วขึ้นครองราชย์แทน โดยให้พระราเมศวรเสด็จกลับไปครองเมืองลพบุรีตามเดิม
สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ ขึ้นครองราชย์เมื่อพระชนมพรรษา ๖๓ พรรษา ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ฉลาด เป็นกษัตริย์นักปกครองที่มีหัวใจนักรบ มีความเก่งกล้าสามารถในการรบ ดูแลทหารเป็นอย่างดี รวมทั้งการดูแลประชาชนให้อยู่เย็นเป็นสุขด้วย พระองค์เป็นกษัตริย์ที่ฉลาดมีโวหารดี เคร่งครัดในศาสนา อุทิศตนให้ศาสนาเป็นอย่างมาก ตลอดจนรักความก้าวหน้า เมื่อขึ้นมาปกครองกรุงศรีอยุธยานั้น พระองค์ทรงสามารถปราบปรามเหตุร้ายต่างๆ ในบ้านเมืองได้อย่างเด็ดขาดราบคาบ ทำให้ทุกอย่างอยู่ภายใต้พระราชอำนาจของพระองค์ โดยมีการเสียเลือดเนื้อเพียงเล็กน้อย
ในระหว่างที่พระองค์ครองราชย์อยู่นั้นบ้านเมืองมีความเจริญรุ่งเรืองถึงที่สุด ไม่มีการอดอยากขาดแคลนในบ้านเมือง ซึ่งถือว่าเป็นเพราะพระบุญญาธิการของพระองค์
พระองค์ เป็นพระมหากษัตริย์ที่ได้กระทำศึกสงครามด้วยความเก่งกล้าสามารถหลายครั้ง โดยตั้งแต่ก่อนที่จะขึ้นครองราชย์ก็ได้ทรงยกทัพไปช่วยพระราเมศวรในการรบกับกองทัพกัมพูชาและเอาชนะได้ จนกรุงกัมพูชาตกเป็นเมืองขึ้นของกรุงศรีอยุธยา
หลังจากขึ้นครองราชย์ในปีพุทธศักราช ๑๙๑๖ พระองค์ได้ยกทัพจากกรุงศรีอยุธยาไปตีเมืองชากังราวหรือกำแพงเพชรในปัจจุบัน ซึ่งเป็นเมืองหน้าด่านที่อยู่ภายใต้การดูแลของอาณาจักรสุโขทัย ได้สู้รบกับพระยาใสแก้วและพระยารามคำแหงซึ่งเป็นเจ้าเมือง ทำให้พระยาใสแก้วเสียชีวิตในการรบ หลังจากนั้น ๒ ปี พระองค์ก็ยังยกทัพไปตีเมืองชากังราวอีกครั้งหนึ่ง เพื่อกวาดต้อนเอาผู้คนทั้งหลายกลับมายังกรุงศรีอยุธยา และต่อมาอีก ๓ ปีพระองค์ทรงยกทัพไปตีเมืองกำแพงเพชรเป็นครั้งที่ ๓ และครั้งนี้ได้สู้รบกับพระมหาธรรมราชาที่ ๒ พระมหากษัตริย์ลำดับที่ ๗ แห่งกรุงสุโขทัย พระมหาธรรมราชาทรงเพลี่ยงพล้ำ เห็นว่าจะสู้ทัพจากกรุงศรีอยุธยาไม่ไหว จึงยอมถวายบังคมยอมรับในอำนาจของกรุงศรีอยุธยา โดยสมเด็จพระบรมราชาธิราชยังทรงให้พระมหาธรรมราชาปกครองเมืองสุโขทัยต่อไป แต่ให้ขึ้นกับกรุงศรีอยุธยาในฐานะเมืองประเทศราช
นอกจากนี้พระองค์ ยังเคยเสด็จขึ้นไปทำสงครามกับหัวเมืองฝ่ายเหนือหลายเมืองเช่นเมืองพิษณุโลก เวียงเชียงใหม่ รวมทั้งเมืองนครลำปาง
ในด้านการศาสนา พระองค์ทรงเป็นกำลังสำคัญในการส่งเสริมพระพุทธศาสนา ได้ทรงสร้างเจดีย์พระศรีรัตนมหาธาตุสูง ๑๙ วา มียอดนพศูลสูง ๓ วา ในพระอารามหลวงที่อยู่กลางกรุงศรีอยุธยา คือวัดพระศรีมหาธาตุที่ถูกสร้างขึ้นในปีพุทธศักราช ๑๙๑๗
ต้องถือว่าสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ (ขุนหลวงพะงั่ว) ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์สุพรรณภูมิทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่มีพระปรีชาสามารถเป็นเลิศทั้งในด้านการศึกสงคราม การเมือง การปกครอง การศาสนา และการค้ากับต่างประเทศ จึงเป็นช่วงเวลาที่อาณาจักรอยุธยามีความเจริญก้าวหน้าเป็นอย่างมาก มีการขยายพระราชอาณาจักร และเข้มแข็งจนไม่มีศัตรูมารุกรานเป็นระยะเวลายาวนานพอสมควร พระองค์ครองราชย์เป็นระยะเวลา ๑๘ ปี จนกระทั่งเสด็จสวรรคตในปีพุทธศักราช ๑๙๓๑ พระชนมพรรษา ๘๑ พรรษา
จึงเห็นได้ว่า ในการปกครองบ้านเมืองนั้นผู้ที่จะนำพาประเทศ ให้เจริญก้าวหน้า และอยู่ดีมีสุขได้นั้น จะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถและประสบการณ์ในการบริหารหลายด้าน มีความเป็นผู้นำ เป็นผู้ที่มีความซื่อสัตย์สุจริต มีความรักชาติ สามารถสร้างความสมัครสมานสามัคคีให้เกิดขึ้นกับประชาชนในชาติได้ ส่งเสริมด้านการศาสนาเพื่อสร้างสิ่งยึดเหนี่ยวทางใจให้กับประชาชน และสำหรับปัจจุบันนี้ จะต้องเป็นผู้ที่เคารพเทิดทูนต่อพระมหากษัตริย์และสถาบันกษัตริย์ ซึ่งได้ก่อร่างสร้างเมืองมาเป็นระยะเวลายาวนานร่วม ๘๐๐ ปี
ประเทศไทยได้เปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมาเป็นเวลา ๙๐ ปี แล้ว มีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้บริหารสูงสุดโดยได้รับการโปรดเกล้าฯจากการเลือกตั้งมาจากผู้แทนราษฎร หรือบางครั้งอาจจะมาจากการมีเหตุการณ์พลิกผัน อันทำให้เกิดการปฏิวัติรัฐประหาร เพราะผู้นำในยุคนั้นๆ ไม่สามารถจะบริหารบ้านเมืองได้ และที่สำคัญยิ่งเป็นผู้ปราศจากความซื่อสัตย์สุจริต กระทำการอันชื่อได้ว่าโกงกินบ้านเมือง
จนถึงปัจจุบันนี้ ประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีมาแล้วทั้งสิ้นจำนวน ๓๐ คน โดยคนที่ ๓๐ ต้องยุติบทบาทโดยคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญ ในกรณีที่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงในการนำเสนอผู้ที่ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรี จนทำให้ต้องมีการเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่
ขณะนี้ก็ชัดเจนแล้วว่า ผู้ที่จะได้รับการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของประเทศคือสตรีเพศนางหนึ่ง ผู้เป็นเชื้อสายโดยตรงของอดีตนายกฯ ซึ่งได้รับพระราชทานอภัยลดโทษและตามมาด้วยการพระราชทานอภัยโทษจนพ้นจากการเป็นนักโทษ จากการกระทำทุจริตคอร์รัปชั่นในระหว่างที่ปฏิบัติหน้าที่นายกฯ
ประเทศไทยมีเรื่องแปลกประหลาดอย่างนี้เกิดขึ้นได้ เป็นความแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ที่แปลกประหลาดเพราะผู้ที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีไม่ได้เป็นผู้ที่มาจากการเลือกตั้ง แต่เข้ามาเป็นนักการเมืองจากอำนาจอิทธิพลดั้งเดิมของเครือญาติ และอำนาจเงินที่มีอยู่อย่างล้นเหลือ พอที่จะซื้อหลายอย่างในระบบการเมืองไทยได้ ซึ่งเงินส่วนหนึ่งนั้นน่าจะมาจากการกระทำทุจริตประพฤติมิชอบ โดยไม่เคยมีประสบการณ์ในการบริหารบ้านเมืองแม้แต่นิดเดียว
หากประเทศไทยของเราจะล่มสลายในอนาคต ก็อย่าโทษเพียงผู้ที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีเท่านั้น แต่ต้องกล่าวโทษไปยังนักการเมืองทั้งหลาย ทั้งที่มาจากระบบการเลือกตั้ง และพรรคการเมืองที่ได้ช่วยกันลงมติเห็นชอบให้สตรีเพศนางนี้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี
ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี