จากพฤติกรรมของพรรคส้มที่ผ่านมา สามารถสรุปเพิ่มเติมได้อีกอย่าง คือ มีสูตรสำเร็จหากินกับมายาคติและโลกทัศน์ “รอพระเอกขี่ม้าขาว” - “นิยมฝรั่งดีกว่าไทย”
1. ตั้งแต่ยุคนายธนาธร นายปิยบุตร พยายามยกเอาปฏิวัติฝรั่งเศสมาล้างสมองคนที่ลึกๆ แล้ว เห็น “ฝรั่งดีกว่าไทย”
ฝรั่งทำอะไร ดีเหลือเกิน ไทยควรเลียนแบบ
ประวัติศาสตร์ฝรั่งเศส คือ แนวทางไปสู่ประชาธิปไตยที่แท้จริง เชื่อแบบกลวงๆ ไม่ตั้งคำถามสักนิด แล้วฝรั่งเศสปัจจุบัน มีสารพัดปัญหาอย่างไร
วัคซีนฝรั่ง ก็คือวัคซีนเทพ ปั่นกระแสต้านวัคซีนจีน วัคซีนที่แอสตร้าฯ สยามไบโอฯ
ยกยอไฮเปอร์ลูป ที่ยังไม่มีโครงการที่ใช้ได้จริงเลยสักกิโล นำมาขายฝัน หลอกเด็ก หลอกคนที่ลึกๆ เทิดทูนฝรั่งเป็นพ่อ แล้วก็ต่อต้านขัดขวางรถไฟความเร็วสูงไทยจีน
ฯลฯ
2. พยายามอวยพิธา พูดภาษาอังกฤษ สำเนียงดูเหมือนฝรั่ง (คนเก่งๆ ภาษาอังกฤษเยอะแยะ สำเนียงดีกว่าพิธาด้วย)
แต่ไม่ได้ดูเลยว่า มีความเข้าใจสังคมไทยดีแค่ไหน ที่จะเป็นผู้นำประเทศไทย
หรือมีทัศนคติลึกๆ ที่เหยียดหยามรากเหง้าความเป็นไทยเสียเอง?
3. พยายามสร้างภาพพิธา ราวกับพระเอก อัศวินขี่ม้าขาว
ปั้นเรื่องให้ดูเป็นหนุ่มหล่อ รูปงาม จิตใจดี เก่งกล้าสามารถ
แต่ความจริง ยังไม่เคยพิสูจน์ความกล้าหาญอะไรเลยแม้แต่น้อย
บริหารธุรกิจครอบครัว ก็ล้มเหลว ขาดทุน เป็นหนี้สินล้นพ้น ขายหุ้นไปในภายหลัง
แถมเคยมีปมลงไม้ลงมือกับภรรยา (ก่อนจะหย่ากัน)
พยายาม “จิ้น” กับนางเอกละคร แต่เธอไม่เล่นด้วย
4. ล่าสุด พิธาเล่นใหญ่ ประกาศบทบาทใหม่ ชูภาพบทบาทใหม่ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ในฐานะ Visiting Democracy Fellow, Harvard University
“ในฐานะ Visiting Democracy Fellow นี่เป็นโอกาสอันน่าตื่นเต้นที่จะได้ต่อยอดความมุ่งมั่นของผมในการส่งเสริมความเป็นผู้นำและหลักการประชาธิปไตยในภูมิภาคอาเซียน
...ผมตั้งตารอที่จะได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศทางปัญญาอันอุดมของฮาร์วาร์ด ผ่านการสำรวจแนวปฏิบัติประชาธิปไตยทั่วโลกและกลยุทธ์ความเป็นผู้นำเชิงนวัตกรรม เศรษฐกิจ ภูมิรัฐศาสตร์ สังคม สิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยีใหม่ๆ ผมตั้งใจจะสะสมความรู้เพื่อเสริมสร้างความสามารถของผมในการแก้ไขปัญหาที่เผชิญในบ้านเกิดของเราในประเทศไทยและที่อื่นๆ
...ผมยังจะเดินทางไปมาระหว่างกรุงเทพฯ และบอสตันเกือบทุกเดือน โดยไม่ทิ้งบ้านเกิดไปนาน วิธีการนี้จะช่วยให้ผมนำข้อมูลเชิงลึกและกลยุทธ์ที่ได้รับจากฮาร์วาร์ดมาปรับใช้ในความพยายามอย่างต่อเนื่องของผมในการพัฒนาประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน...”
สาวกบางคน ยังไม่รู้เลยว่า อะไร คือ Visiting Democracy Fellow
แต่อวยไปถึงไหนต่อไหน
น่าเวทนามาก
ถ้าแหกตูดดมได้ คงทำไปแล้ว
5. คุณวิมล ไทรนิ่มนวล นักเขียนชื่อดัง วิเคราะห์ว่าด้วยเรื่อง “การเมืองแบบใหม่ไส้เน่ากว่าเก่า”
ชำแหละการเมืองพรรคล้มแบบหมดไส้หมดพุง ระบุว่า
“...อวยกันไม่เลิกว่า “พรรคส้มทำงานการเมืองแบบใหม่” พรรคเก่าทำงานการเมืองแบบน้ำเน่า ต้องสูญพันธุ์ไปได้แล้ว
มาดูกันว่าพรรคส้มทำงานการเมืองแบบใหม่อย่างไร
1) ในวันแถลงเปิดตัวพรรคอนาคตใหม่ สื่อมวลชนและผู้สนใจไปร่วมงานกันอย่างคับคั่ง
เจ้าของพรรคประกาศย้ำว่าพรรคของเขาจะทำการเมืองแบบใหม่ แล้วก็ประกาศว่า พรรคใดไม่เห็นด้วยกับพรรคของเขา ก็ย่อมเป็นศัตรูกับพรรคของเขา!
การเมืองแบบใหม่เปิดฉากด้วยการแบ่งแยกและตอกลิ่มคนในชาติให้แตกแยกกัน เช่นเดียวกับคุณทักษิณทำในยุคเสื้อแดง
มันเป็นวิธีการ “แบ่งแยกแล้วปกครอง” ที่พวกกระหายอำนาจทั่วโลกทำกัน
2) การเมืองหลายหน้า นอกจากมี สส.ในสภาแล้ว ยังมีขบวนการที่ทำงานนอกสภา
ทั้งในโซเชียลมีเดีย ที่ปั้นเรื่องเท็จใส่ร้ายพระมหากษัตริย์ การบิดเบือนและโจมตีปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ว่าเป็นการกดขี่ทางชนชั้น ให้คนจนยอมจำนนต่อพวกชนชั้นศักดินา นายทุน ขุนศึก!
3) การเข้าไปจัดตั้งนักเรียนนักศึกษาในสถาบันการศึกษาต่างๆ และการจัดกลุ่มย่อยๆเพื่อปลุกปั่นให้คนเข้าใจผิดและเกลียดชังสถาบันพระมหากษัตริย์
ปลูกฝังการดูถูก เกลียดชังชาติ เหยียดหยามขนบธรรมเนียมประเพณีต่างๆ กระทั่งความกตัญญูกตเวทีแก่บุพการี
รวมถึงการสร้างม็อบให้ก่อกวนและใช้ความรุนแรงบนท้องถนน
4) การดิวกับนายทุนที่อยู่ต่างชาติและประเทศมหาอำนาจตะวันตก
มีการจ้างบริษัทล็อบบี้ในสหรัฐอเมริกาเพื่อทำงานให้ตน ซึ่งก็เหมือนกับที่คุณทักษิณทำ
5) ตอนจัดตั้งรัฐบาลครั้งหลังสุด เจ้าของพรรคก้าวไกลแอบไปพบกับเจ้าของพรรคเพื่อไทย เพื่อตกลงเรื่องการจัดตั้งรัฐบาล
แต่สุดท้ายคุณทักษิณนำพรรคเพื่อไทยไปร่วมกับพรรคฝ่ายอนุรักษนิยม พรรคก้าวไกลจึงเป็นฝ่ายค้าน แต่ก็ไม่เคยค้านจริงจังกับประเด็นปัญหาที่สำคัญเลย
เมื่อมีเสียงเรียกร้องมากเข้า ก็มีคนในพรรคออกมาทำขึงขังวิจารณ์พรรคเพื่อไทยพอเป็นพิธี
6. พรรคก้าวไกลยอมเป็นพรรคอะไหล่ของพรรคเพื่อไทย เพียงเพื่อจะได้ร่วมเป็นรัฐบาลมีอำนาจรัฐ เพราะร่วมกับพรรคอื่นไม่ได้ ถูกรังเกียจ!
แม้ในปัจจุบันก็ยังแหงนคอรอคอย ไม่กล้าหือกับเจ้าของพรรคเพื่อไทย
7) พฤติกรรม สส.ของพรรค เมื่ออยู่นอกสภาก็มีปัญหาหลายเรื่อง เป็นข่าวฉาวโฉ่น่ารังเกียจ
ในสภาก็แสดงกิริยาไม่สมควรจะเป็น “ท่านผู้ทรงเกียรติ” หลายคนก้าวร้าวอวดข่ม พูดเอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น เหมือนกับนักการเมืองเก่าที่พวกตนรังเกียจ
8) เมื่อพวกตนทำผิดก็โทษกฎหมาย โทษกระบวนการยุติธรรม
และมักจะพูดเป็นนัยให้ผู้คนเข้าใจผิดว่า “เบื้องบนสั่ง” ! พวกตนเท่านั้นคือผู้บริสุทธิ์และตั้งตนเป็นความยุติธรรมของประเทศเสียเอง
9) เจ้าของพรรคก็มีบทบาทเหนือพรรค เช่นเดียวกับคุณทักษิณ
10) ล่าสุด สส.จำนวนหนึ่งของพรรคก็ดีแต่ปาก แต่ก็นิยมไปดูงานและเที่ยวที่ต่างประเทศ
พรรคส้มมีคุณสมบัติอะไรบ้างที่บอกว่า “ทำงานการเมืองแบบใหม่?”
นอกจากพวกสื่อและพวกนักวิชาการที่ร่วมด้วยช่วยอวยเหมือนตาบอด”
6. ที่ร้ายลึก คือ การพยายามสร้างภาพผ่านวาทกรรม คำพูดหวานหู ภาพลักษณ์ที่ดูไม่เป็นพิษเป็นภัย เอาคนหนุ่มสาวเป็นเครื่องมือ
รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เคยโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Harirak Sutabutr ชำแหละวาทกรรมในการแถลงข่าวปิดคดี ที่นายพิธา
พยายามอ้างว่า แค่จะแก้มาตรา 112 ทำแบบนานาอารยประเทศ รักษาสิ่งเก่าและเชื่อมประสานกับสิ่งใหม่ เพื่อป้องกันไม่ให้ระบอบประชาธิปไตยและสถาบันพระมหากษัตริย์แปลกแยกต่อกัน ฯลฯ
รศ.หริรักษ์ ระบุว่า คำพูดหล่อดี แต่ไม่ตรงกับความจริง
“...การดำเนินคดีกับคนที่ทำผิดกฎหมาย ซึ่งความผิดคือการดูหมิ่น และอาฆาตมาดร้ายองค์พระมหากษัตริย์ เรียกว่าเป็นการกดปราบหรือ หากไม่มีการทำผิดกฎหมายก็ไม่มีการดำเนินคดีใดๆ
... การที่มีกลุ่มคนพยายามปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์จากการกระทำของพวกที่จาบจ้วงล่วงละเมิดอย่างหยาบคายและรุนแรงเกินกว่าที่พวกเขาจะยอมรับได้ เรียกว่าจงรักภักดีอย่างล้นเกินหรือ ถ้าเช่นนั้นการกระทำของกลุ่ม ทะลุแก๊ส ทะลุวัง ธรรมศาสตร์และการชุมนุม กลุ่มราษฎรและกลุ่มอื่นๆ ที่มีการกระทำเช่น เผาพระบรมฉายาลักษณ์ ใช้เครื่องกิโยตีนมาแสดงเป็นสัญญลักษณ์ระหว่างการชุมนุม และอื่นๆ อีกมากที่จารนัยไม่หมด ก็ต้องเป็นการแสดงความไม่จงรักภักดีอย่างล้นเกินเช่นกัน
การบังคับใช้ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ในลักษณะเข้มงวดรุนแรงอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน เป็นเพียงทำตามกฎหมายที่ไม่ได้เกินเลยแต่อย่างใด
ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนก็เพราะ หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ยุบพรรคอนาคตใหม่ ก็มีการชุมนุมประท้วงจาบจ้วง ดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างหยาบคาย ทั้งต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 อย่างรุนแรงอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนเช่นกัน
...(คำพูดของนายพิธา)ดูเหมือนกับเป็นความหวังดี แต่ถ้าอ่านเนื้อหาที่เสนอแก้ไขแล้ว ต้องบอกว่าเป็นความหวังดีที่ไม่มีใครอยากรับ
ความต้องการที่แท้จริงของพรรคก้าวไกลคือการยกเลิกมาตรา 112 โดยสิ้นเชิง แต่เห็นว่าเป็นไปได้ยาก จึงเปลี่ยนมาเป็นการแก้ไขให้ใกล้เคียงกับการยกเลิกให้มากที่สุด
คุณพิธาเองเป็นคนยอมรับบนเวทีหาเสียงที่ติดสติ๊กเกอร์ฝั่งยกเลิก ว่าต้องการยกเลิกแต่ยังทำไม่ได้จึงขอแก้ไขก่อน การแก้ไขให้ลดโทษลงมาเหลือเท่าๆ กับการหมิ่นประมาทบุคคลทั่วไป และในบางกรณีก็ไม่ต้องรับโทษ คงไม่ใช่ความหวังดีอย่างแท้จริง เพราะประธานรัฐสภา และรองประธานรัฐสภาในขณะนั้นไม่บรรจุเข้าวาระการประชุมสภา เพราะเกรงว่าจะขัดกับรัฐธรรมนูญมาตรา 6
อ้างว่า มีเจตนาจะฟื้นฟูสายสัมพันธ์อันดี ระหว่างประชาชนกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ถามว่าสายสัมพันธ์ระหว่างประชาชนกับ “สถาบัน” พระมหากษัตริย์มีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีตั้งแต่เมื่อใด
จะมีก็แต่พวกที่ได้รับการปั่นจากข้อมูลที่จริงบ้างเท็จบ้างให้มีความเกลียดชังต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
คนส่วนใหญ่เขาไม่มีปัญหากับสถาบันแต่อย่างใด
หากแก้ไขมาตรา 112 ตามที่สส.พรรคก้าวไกลเข้าชื่อกันเสนอเข้าสภา พวกที่ถูกปั่นจนมีความเกลียดชังต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ก็จะกระทำการหมิ่นองค์พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ในราชวงศ์จักรีกันอย่างสนุกสนานอย่างแน่นอน...
การล่วงละเมิดผู้อื่นแล้วอ้างว่าเป็นสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น เป็นการกระทำที่เอาแต่ได้และน่าอับอายที่สุด ยังอ้างหล่อๆ อีกว่า เป็นคุณค่าพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตย
การอ้างว่า เจตนาที่แท้จริงของพรรคก้าวไกลคือ การธำรงไว้ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขให้ยืนยงสถาพรสืบไปเยี่ยงนานาอารยประเทศ ฟังแล้วเหมือนกับเป็นความหวังดี แต่หากพิจารณาคำว่า “นานาอารยประเทศ” ก็ถึงบางอ้อว่า เป็นความหวังดีแบบที่ได้กล่าวแล้วข้างต้น คือให้องค์พระมหากษัตริย์เป็นเพียงสัญลักษณ์
ไม่ให้มีบทบาทใดๆ ไม่ให้มีพระราชอำนาจใดๆ กระทั่งไม่มีเสรีภาพพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญเสียด้วยซ้ำ ดังที่คุณพิธาเคยกล่าวในสภาว่าต้องการ “จัดวางพระราชสถานะและพระราชอำนาจให้เหมาะสมกับยุคสมัย” จำเป็นหรือที่สถาบันพระมหากษัตริย์ของประเทศไทยต้องเหมือนกับนานาอารยประเทศ
นี่ไม่ใช่การเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไปตามวิวัฒนาการของสังคม แต่เป็นการยัดเยียดให้สถาบันพระมหากษัตริย์เปลี่ยนแปลงไปอย่างที่ตัวเองต้องการ ด้วยการพยายามจะแก้ไขกฎหมายและแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ แต่ก่อเกิดอย่างเป็นขบวนการและเป็น
ขั้นเป็นตอน
และเห็นได้ชัดว่าน่าจะมีประเทศตะวันตกเข้ามาเกี่ยวข้อง ดูจากการเคลื่อนไวของวุฒิสมาชิกของสหรัฐอเมริกาคนหนึ่ง และการเคลื่อนไหวของสถานทูต 18 ชาติ ที่พบปะกับคุณพิธาแสดงความกังวลว่าพรรคก้าวไกลจะถูกยุบ
จะเห็นว่าการแถลงข้างต้น เป็นการแถลงที่ใช้ถ้อยคำสวยหรู แต่เป็นการพูดความจริงไม่ถึงครึ่งหนึ่ง
อ้างว่าหวังดีต่อสถาบัน แต่การกระทำบ่งบอกว่าไม่ใช่...”
หยุดเป็นเหยื่อของพรรคส้ม ที่หากินกับวาทกรรมและโลกทัศน์แบบขี้ข้าฝรั่ง
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี