l การแสวงหาสัจจะ จากความเป็นจริง เป็นหัวใจของการพัฒนาไปสู่ความก้าวหน้ายั่งยืนด้วยทำให้ประชาชน เห็นความเป็นจริง ที่กระจ่างชัดเจน มีเหตุมีผล พิสูจน์จับต้องได้พูดในเชิงหลักการที่ถูกต้องว่า ให้ความสำคัญ “เนื้อหา” มากกว่า “รูปแบบ” เพราะ “เนื้อหา” คือ “แก่นแท้หรือตัวจริง” ของเรื่องแต่ “รูปแบบ” คือ “เปลือก กระพี้ หรือภาพที่เห็นภายนอก”
เช่น การกล่าวลอยๆ ถึง เรื่อง “ประชาธิปไตยและเผด็จการ การเลือกตั้งและการรัฐประหาร”ตามหลักวิชาการของตะวันตก จะสรุปง่ายๆ ว่า :ประชาธิปไตย และการเลือกตั้ง = “ดี” นำพาประเทศไปสู่ความเจริญก้าวหน้า เผด็จการ และการรัฐประหาร =“ไม่ดี” นำพาประเทศไปสู่ความเสียหาย
.แต่ในความเป็นจริง เราต้องดูผลของการกระทำในแต่ละส่วนนั้นใครเป็นผู้รับผลประโยชน์หรือผลเสียหายที่เกิดขึ้น
หากประชาชนส่วนใหญ่ และประเทศชาติได้รับผลประโยชน์ ถือว่าเป็นเรื่องดีถูกต้อง
หากบุคคลพวกพ้อง ได้รับผลประโยชน์ แต่ประเทศชาติและประชาชน เสียหาย ถือว่า เป็นเรื่องผิด
@ ความเป็นจริงทางประวัติศาสตร์ของสังคมไทย
ทั้ง “การเลือกตั้ง และการรัฐประหาร”มีทั้งส่วนที่ดี และเสียโดยเราต้องพิจารณา ความเป็นของรูปธรรมของประวัติศาสตร์ ในแต่ละเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นว่าประเทศชาติและประชาชน ได้ประโยชน์ หรือเสียประโยชน์
l สังคมไทยก้าวไปไม่ถึงฝั่งประชาธิปไตยที่แท้จริงของประชาชนสักที
มีหลายเหตุปัจจัยที่สำคัญ ที่นำไปสู่ทางตัน ไม่มีทางออก วนเวียนซ้ำเดิมติดอยู่ในถ้ำแห่งอวิชชา
๑.รากเหง้าทางความคิดของผู้นำการเมืองสังคม และนักวิชาการไทย ไม่เข้าใจสังคมไทยที่แท้จริง
(นายแพทย์ประเวศ วะสีฯ)
๒. ไม่มีการศึกษาอย่างแท้จริง และไม่มีการสรุปบทเรียนการเมือง (เศรษฐกิจสังคม) ไทยที่ผ่านมา ไม่ว่า เหตุการณ์ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ฯลฯ จึงไม่รู้ความจริง ก้าวย่ำอยู่กับที่ ทำผิดซ้ำซากตลอดมา
๓. ไม่ได้แสวงหาสัจจะ จากความเป็นจริง
๔. ยึดอคติ ความเชื่อที่ผิด และติดกรอบความคิดของฝรั่งมังค่า (และบางครั้ง เป็นความคิดสังคมนิยมสุดโตง)
๕. อ้างอิงและเชื่อถือ “สื่อตะวันตก” ที่มองตามอคติของตน และ ผลประโยชน์ที่ฝ่ายตนได้หรือไม่ได้เข้าใจความเป็นจริงที่เกิดขึ้น
๖. รับฟังนักวิชาการอคติ และสื่อของกลุ่มทุนสามานย์ทางการเมือง ที่ยึดเอาผลประโยชน์ของ นักการเมือง กลุ่มทุนใหญ่ ที่สร้างกระแสข่าวเท็จขึ้นมารับใช้ “เผด็จการรัฐสภาของนักเลือกตั้ง”
๗. ไม่ปฏิรูปโครงสร้างและระบบสังคมที่เหลื่อมล้ำไม่เป็นธรรม และคุณภาพของประชาชนระบบและโครงสร้างของระบบยุติธรรมแบบเดิม ที่ไม่ได้ให้ความยุติธรรมและความเป็นธรรมแก่ประชาชนอย่างแท้จริง ไม่ได้พัฒนาคุณภาพประชาชน ใช้หลักการ“เอาปลาไปแจก ไม่สอนให้ชาวบ้านตกปลาเป็น”
๘. ยึดระบบการเลือกตั้ง ที่ไม่สุจริตเที่ยงธรรม ทำให้ได้นักการเมืองเก่าที่ใช้การทุ่มทุน สื่อ ใช้มวลชนนักวิชาการ ข้าราชการ ธุรกิจฯ ในการเข้าสู่อำนาจรัฐ(๑) ใช้อำนาจรัฐ (๒) เพื่อผลประโยชน์ กอบโกยทุนคืนและไม่มี การตรวจสอบอำนาจรัฐ (๓) อย่างแท้จริงไม่เป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติอย่างแท้จริง
๙. ไม่มีผู้นำที่เป็นรัฐบุรุษ ที่กล้าหาญเสียสละ รู้ปัญหาและทางออกของประเทศโดยเรามีแต่ ผู้นำการเมือง เศรษฐกิจและสังคม ที่ยึดเอาผลประโยชน์ของตน กลุ่มฯ เป็นที่ตั้ง
l อคติที่รุนแรงหนักในเชิงเนื้อหา ที่เป็นเท็จเต็มไปด้วยอคติ ไม่สอดคล้องกับความจริงที่ครอบงำสังคมไทย
๑. การมองแต่รูปแบบ ขาดการพิจารณาเนื้อหา
๒. เอาอคติของตนเป็นใหญ่ กว่าผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติที่ได้รับ
๓. เป็นการเลียนแบบอคติฝรั่ง ไม่ยึดความเป็นจริงและความถูกต้องของสังคมไทย
๔.การสร้างวาทกรรมอย่างเป็นกระบวนการ กล่าวหาให้ร้ายต่อ “รัฐประหาร” ว่า “การรัฐประหาร เป็นเผด็จการ ทำลาย ประชาธิปไตย” โดยอ้างเท็จว่า “พวกเขาเป็นประชาธิปไตย” และกล่าวหาว่า “รัฐบาลลุงตู่เป็นเผด็จการ” โดยการกระทำอย่างเป็นระบบ อาศัยสื่อ นักวิชาการ ล็อบบี้ยิสต์ ทั้งชาวไทยและต่างประเทศ นักการเมืองของพรรคเขาและแนวร่วม รวมทั้งมวลชนที่ขาดความรู้
l @ ความจริงที่ประชาชนส่วนใหญ่ทราบดีว่า“การรัฐประหารบางกรณีเป็นความจำเป็น ที่ไม่มีทางเลือกหรือทางออกอื่น เช่น ที่รัฐบาลทักษิณและยิ่งลักษณ์ ไม่ยอมรับ กระบวนการยุติธรรมไทยไม่ยอมรับผิดและลงจากอำนาจ ตามกติกาฯ ประเทศไทยโชคดี ที่มี “ผู้นำที่กล้าหาญ” กล้าเสียสละกล้าทำเพื่อแก้วิกฤตที่ไม่มีทางออกของประเทศ และรักษาผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ อย่างน้อย ๒ เหตุการณ์ คือ
(๑) การรัฐประหาร ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙
ที่คณะผู้นำ คือ พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน เป็นหัวหน้า คมช. และพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรีกระทำต่อรัฐบาลทุนสามานย์ทักษิณ
สาเหตุของรัฐประหารยึดอำนาจ โดยมีสาระสำคัญ ได้แก่ การทุจริตผลประโยชน์ทับซ้อน การใช้อำนาจในทางมิชอบ การละเมิดจริยธรรมคุณธรรมของผู้นำประเทศ การแทรกแซงระบบการตรวจสอบทางการเมืองตามรัฐธรรมนูญ ข้อผิดพลาดเชิงนโยบายที่นำไปสู่การละเมิดสิทธิเสรีภาพและการบ่อนทำลายความสามัคคีของคนในชาติ
(๒) การรัฐประหาร ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗
ที่คณะผู้นำ คือ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นหัวหน้า คสช. กระทำต่อ รัฐบาลนอมินียิ่งลักษณ์ ทำให้ชาติบ้านเมือง พ้นมหาภัยจาก“ระบอบเผด็จการรัฐสภา ทุนสามานย์ทัก” ที่โกงชาติ ปล้นประชาชนใช้อำนาจมิชอบเพื่อตนเองและครอบครัวพวกพ้อง ซึ่งขัดหลักนิติธรรม ขัดรัฐธรรมนูญ
และการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมอย่างเป็นระบบและกระบวนการอย่างไม่มีใครทำมาก่อน (นายกฯชวน หลีกภัย) และก่อนหน้านั้นหัวหน้าและเจ้าของพรรคทุนสามานย์ พลพรรคเสื้อแดง ได้ก่อการใหญ่ปิดล้อมการประชุมผู้นำอาเซียน + ๖ ที่พัทยา (๑๑ เมษายน ๒๕๕๒) สร้างความเสียใหญ่ต่อชาติบ้านเมือง แล้วประกาศเป็นชัยชนะของคนเสื้อแดง ชุมนุมปิดล้อมกรุงเทพฯ เผาบ้านเผาเมือง ทำลายบ้านเรือนประชาชน ใช้มวลชน ตำรวจแดง ติดอาวุธ ยิงใส่ประชาชนและอาคารสถานที่สำคัญ บุกโรงพยาบาลจุฬาฯที่สมเด็จพระสังฆราชประทับรักษาพระอาการประชวรอยู่ (๑๐ เมษายน-๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๓)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี