ทักษิณ ชินวัตร มาพร้อมคำคุยโม้โอ้อวดสารพัดไอเดีย เป็นเอกลักษณ์ประจำตัวมาแต่ไหนแต่ไร
สมัยก่อน ก็ปั่นไอเดีย จะออกหวยไปซื้อหุ้นลิเวอร์พูล
คราวนี้ ยังมีไอเดียร้อยแปด
แม้แต่เรื่องเก่าๆ อย่างถมทะเล ก็นำกลับมาพูดอีกรอบ
หรือเรื่องที่รัฐบาลดำเนินการอยู่แล้ว อย่างรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ก็ยังขุดเอามาฝอย ราวกับเป็นโครงการที่ตนเองทำ
เวลาพูด ก็มีแต่วาดภาพสวยงาม แต่ไม่พูดถึง “ปัญหาจริง” ที่วางอยู่ตรงหน้า
ยกตัวอย่าง โครงการถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ปัญหาที่รัฐบาลเพื่อไทยก็ยังแก้ไม่ได้ คือ สถานีอยุธยา มรดกโลก จนถึงป่านนี้ ยังไม่ได้เซ็นสัญญากับผู้รับเหมาก่อสร้าง จะแก้ได้เมื่อไหร่ อย่างไร
ล่าสุด ก็มีเรื่องเกี่ยวกับสัมปทานรถไฟฟ้าใน กทม. ที่พูดราวเป็นของง่ายๆ
1. ซื้อคืนสัมปทานรถไฟฟ้าเอกชน
ทักษิณ ชินวัตร กล่าวปาฐกถา Vision for Thailand เกี่ยวกับการนำสัมปทานรถไฟฟ้ามาบริหารเองโดยรัฐ
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยเพิ่มเติมว่า ไม่ใช่ว่ารัฐบาลจะนโยบายไปยึดสัมปทานรถไฟฟ้าคืน ไปรังแกเอกชน และทำให้ผู้เกี่ยวข้องผู้รับสัมปทานได้รับผลกระทบและมีความกังวล รวมถึงส่งผลไปถึงราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ
ยืนยันว่า รัฐบาลอยากให้ประชาชนในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลได้รับการบริการ รถไฟฟ้าในราคาที่ถูก และสอดคล้องกับนโยบายกระทรวงคมนาคมในการดำเนินโครงการค่าโดยสารรถไฟฟ้าไม่เกิน 20 บาทตลอดสาย
โดยกระทรวงการคลังจะมีการจัดตั้งกองทุนฯขึ้นมาดำเนินการ เพื่อซื้อสัมปทานรถไฟฟ้าคืนจากบริษัทเอกชนที่รับสัมปทาน อยู่ในปัจจุบัน เช่น รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินสายสีชมพูสีเหลืองและสีส้ม ที่ยังมีอายุสัมปทานเหลืออีกกว่า 20 ปี ยกเว้นรถไฟฟ้าสายสีเขียวที่ยังเหลืออายุอีกประมาณ 5 ปีเท่านั้น ก็จะจ้างเท่าที่อายุสัมปทานเหลืออยู่
โดยเมื่อรัฐซื้อคืนสัมปทานกลับมาแล้ว จะปรับรูปแบบสัญญา จากสัมปทาน PPP Net Cost เป็นการจ้างเดินรถ หรือ PPP Gross Cost โดยจะจ้างเอกชนรายเดิมที่ยังไม่หมดสัมปทานเดินรถต่อไป จนหมดสัญญาเดิม ดังนั้น เอกชนจะไม่ได้รับผลกระทบหรือมีความเสี่ยงในการเดินรถจากการปรับเปลี่ยนรูปแบบสัญญาจ้างดังกล่าว
“เป้าหมายของเรื่องนี้คือ ต้องการให้ประชาชนได้รับประโยชน์มากที่สุด มั่นใจว่าประชาชนจะได้ใช้บริการรถไฟฟ้าในราคาไม่เกิน 20 บาทตลอดสายแน่นอน
ส่วนเอกชนรายเดิมยังเป็นผู้เดินรถต่อไป เพราะจะเป็นการเปลี่ยนรูปแบบสัญญาสัมปทานเป็นสัญญาจ้างเดินรถ เอกชนจะไม่ได้รับผลกระทบหรือมีความเสี่ยง ผมขอยืนยันว่า ไม่มีเรื่องยึดคืนสัมปทานจากเอกชนแน่นอน เพราะหากรัฐบาลทำแบบนั้นต่อไปเอกชนที่ไหนจะกล้ามาลงทุน
ส่วนการเจรจาซื้อคืน และจ้างเดินรถแบบใหม่นี้ จะมีระยะเวลาจ้างตามอายุสัญญาที่เอกชนเหลือแต่ละโครงการ” - รมว.คมนาคมกล่าว
นายสุริยะกล่าวว่า ขอให้รอรัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภาเรียบร้อยก่อน เรื่องการซื้อคืนสัมปทานรถไฟฟ้าจะมีการชี้แจงถึงแนวทางดำเนินการ เท่าที่มีการปรึกษากับกระทรวงการคลัง มีแนวทาง การตั้งกองทุนขึ้นมา เพื่อระดมเงินรวบรวม สำหรับเข้าซื้อกิจการรถไฟฟ้าที่เอกชนยังบริหารภายใต้สัญญาสัมปทาน ส่วนจะเอาเงินจากไหนเข้ามา คงต้องปรึกษากระทรวงการคลัง และกองทุนนี้จะแยกกับกองทุนที่จะเอาไปอุดหนุนค่าโดยสารรถไฟฟ้าตามร่าง พ.ร.บ.การบริหารจัดการระบบตั๋วร่วมพ.ศ...ด้วย
นอกจากนี้ ยังมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.)ไปดำเนินการศึกษาและวิเคราะห์การจัดเก็บค่าธรรมเนียมรถติด (Congestion Charge) เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการดำเนินการดังกล่าวและนำรายได้จากการจัดเก็บค่าธรรมเนียมรถติดส่งเข้ากองทุนฯที่ จะจัดตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุนในการรณรงค์ให้ประชาชนใช้ระบบขนส่งสาธารณะให้มากขึ้นรวมถึงยังเป็นการแก้ปัญหาจราจรติดขัดอีกด้วย
“แนวคิด Congestion Charge เป็นการกำหนดเขตที่จะเก็บค่าธรรมเนียมจราจรหนาแน่นประเทศอื่นมีการเก็บจริงๆ และส่วนตัวได้ไปดูโมเดลนี้ที่ประเทศอังกฤษมาแล้ว
จึงคิดว่าในอนาคตมีความจำเป็นที่จะต้องจัดเก็บ เมื่อมีระบบขนส่งครบบริบูรณ์แล้ว เช่น ย่านถนนรัชดาภิเษก ถ้าตรงนั้นมีรถไฟฟ้าครอบคลุมแล้ว อาจจะต้องเก็บ หรือแถวถนนสุขุมวิทก็อาจจะต้องเก็บ เพราะจะช่วยแก้ปัญหาจราจรได้”- นายสุริยะกล่าว
แต่เมื่อถามว่า การซื้อคืนระบบรถไฟฟ้าจะใช้เวลาศึกษาเท่าไหร่ จะชัดเจนเมื่อใด และถ้าทำจริงต้องทุกสีทุกสายเลยไหม?
นายสุริยะกล่าวว่า ต้องขอดูก่อน เบื้องต้นอาจจะร่วมกันกับกระทรวงการคลัง แต่เบื้องต้น ขอให้รอรัฐบาลแถลงนโยบายก่อน ส่วนจะต้องรอให้รถไฟฟ้าก่อสร้างแล้วเสร็จทุกสายก่อนหรือเปล่านั้น คิดว่า ตอนนี้บางจุดมีรถไฟฟ้าผ่านครบแล้ว เพราะฉะนั้น จะต้องไปจ้างที่ปรึกษาว่า สมควรทำตรงจุดไหนก่อน เก็บเท่าไร เรื่องนี้ยังไม่เคยศึกษามาก่อน
2. คิดฝัน ใครก็คิดได้ แต่จะทำจริงหรือไม่?
เกี่ยวกับไอเดียข้างต้น ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ ให้ข้อคิดความเห็นว่า “เอาเลย ! ซื้อสัมปทานรถไฟฟ้าคืน”
“...มีข่าวที่น่าสนใจว่า รัฐจะซื้อสัมปทานรถไฟฟ้าคืนจากเอกชน เพื่อทำให้ค่าโดยสารเหลือ 20 บาทตลอดสาย
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะเคยมีข่าวว่ารัฐจะซื้อสัมปทานรถไฟฟ้าคืนเมื่อต้นปี 2547 แล้วจะเก็บค่าโดยสาร 15 บาทตลอดสาย แต่ก็ไม่สามารถทำได้
ทั้งๆ ที่ในเวลานั้น มีรถไฟฟ้าที่เปิดให้บริการแล้วเพียงสายเดียว ระยะทาง 23.5 กิโลเมตรเท่านั้น คือสายสีเขียวช่วงหมอชิต-อ่อนนุช ระยะทาง 17 กิโลเมตร และช่วงสนามกีฬาแห่งชาติ-สะพานตากสิน ระยะทาง 6.5 กิโลเมตร
ผมอยากให้ค่าโดยสารรถไฟฟ้าถูกลง เพื่อช่วยลดค่าครองชีพของพี่น้องประชาชน
แต่เนื่องจากรถไฟฟ้าส่วนใหญ่เป็นการร่วมลงทุนระหว่างรัฐกับเอกชน ทำให้ค่าโดยสารแพง หากไม่ให้เอกชนมาร่วมลงทุน ถึงเวลานี้จะมีรถไฟฟ้าน้อยกว่าปัจจุบันมาก รถไฟฟ้าหลายสายคงยังไม่เกิด การให้เอกชนมาร่วมลงทุนมีข้อดีก็คือทำให้สามารถขยายเส้นทางรถไฟฟ้าได้เร็ว แต่ก็มีข้อเสียที่ทำให้ค่าโดยสารแพง
ด้วยเหตุนี้ การซื้อสัมปทานรถไฟฟ้าคืนกลับมาเป็นของรัฐ จึงเป็นแนวทางหนึ่งที่จะทำให้ค่าโดยสารรถไฟฟ้าถูกลง
แต่การซื้อคืนจะต้องใช้เงินจำนวนมาก เนื่องจากถึงวันนี้มีรถไฟฟ้าที่เปิดให้บริการแล้ว 8 สาย ระยะทางรวม 274 กิโลเมตร จะหาเงินมาจากที่ไหน ?
จึงเกิดแนวคิดที่จะหาเงินจากการเก็บค่าผ่านทางเข้าย่านธุรกิจซึ่งมีรถติด เรียกกันว่าค่าธรรมเนียมรถติด (Congestion Charge หรือ Congestion Pricing)
สิงคโปร์เป็นประเทศแรกที่ใช้มาตรการเก็บค่าธรรมเนียมรถติด โดยเรียกมาตรการนี้ว่า Area Licensing Scheme (ALS) โดยเริ่มเมื่อปี 2518 ในขณะนั้นสิงคโปร์ยังไม่มีรถไฟฟ้า แต่มีรถเมล์ที่มีประสิทธิภาพให้บริการ ตอนเริ่มใหม่ๆ มีคนคัดค้านเพราะมาตรการนี้ส่งผลกระทบต่อการใช้รถส่วนตัว แต่ด้วยความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายและการเข้มงวดกวดขัน ทุกคนก็ต้องปฏิบัติตาม
ประเทศไทยของเราเคยมีการศึกษาที่จะใช้มาตรการเก็บค่าธรรมเนียมรถติดมาแล้วหลายครั้ง แต่ไม่เคยนำมาใช้ปฏิบัติ
มาวันนี้จะศึกษาอีก ผมจึงขอถือโอกาสนี้ฝากข้อห่วงใยเกี่ยวกับการใช้มาตรการเก็บค่าธรรมเนียมรถติดไปถึงรัฐบาลดังนี้
(1) ภายในพื้นที่ที่จะเก็บค่าธรรมเนียมรถติดจะต้องมีรถไฟฟ้าให้บริการทั่วถึง พร้อมทั้งมีรถเมล์ที่ดีทำหน้าที่รับส่งผู้โดยสารจากรถไฟฟ้า
(2) ภายนอกพื้นที่ที่จะเก็บค่าธรรมเนียมรถติดจะต้องมีที่จอดรถ เมื่อจอดรถแล้วผู้ขับขี่สามารถเปลี่ยนไปใช้รถไฟฟ้าหรือรถเมล์ที่ดีได้ในลักษณะ “จอดแล้วจร (Park and Ride)” เพื่อเดินทางสู่จุดหมายปลายทางต่อไป
(3) จะยกเว้นการเก็บค่าธรรมเนียมสำหรับผู้ที่อยู่อาศัยและผู้ทำการค้าภายในพื้นที่ที่จะเก็บค่าธรรมเนียมรถติดหรือไม่ ?
(4) กรุงเทพฯ มีตรอกซอกซอยเยอะ จะหาทางป้องกันไม่ให้รถใช้เป็นเส้นทางหลบหลีกการชำระค่าธรรมเนียมได้อย่างไร ?
(5) ยังมีรายละเอียดปลีกย่อยอีกมากที่จะต้องพิจารณา เช่น วันและเวลาการเก็บค่าธรรมเนียม ประเภทรถ จำนวนผู้โดยสารในรถรวมทั้งคนขับที่จะได้รับการยกเว้น วิธีการเก็บค่าธรรมเนียม และบทลงโทษ เป็นต้น
เมื่อรัฐมีแนวคิดที่จะซื้อสัมปทานคืนจากเอกชน ผมจึงขอฝากคำถามและข้อเสนอแนะไปถึงรัฐบาลเกี่ยวกับสัมปทานดังนี้
(1) ในอนาคตรัฐจะเชิญชวนเอกชนให้มาร่วมลงทุนในกิจการรถไฟฟ้าอีกหรือไม่ ?
(2) หากรัฐไม่สามารถซื้อสัมปทานรถไฟฟ้าคืนจากเอกชนได้ รัฐจะต้องเลิกขยายระยะเวลาสัมปทานรถไฟฟ้าให้เอกชนทุกราย
(3) รัฐจะซื้อสัมปทานทางด่วนคืนจากเอกชนด้วยหรือไม่ ? เพื่อทำให้ค่าผ่านทางถูกลง หากไม่ซื้อ รัฐจะต้องเลิกขยายระยะเวลาสัมปทานทางด่วนให้เอกชนทุกราย
ทั้งหมดนี้ ด้วยความหวังดี อยากให้รัฐประสบความสำเร็จในการแก้ปัญหาการจราจร”
3. จะเห็นว่า ไอเดียของนายทักษิณ ไม่ใช่เรื่องสดใหม่อะไรเลย
แต่ถูกนำมาโม้ สร้างภาพจอมวิชั่น ให้กับตนเองอีกรอบ
อย่าลืมว่า สมัยทักษิณเป็นนายกฯ เคยได้รับฉายาว่า เป็นนายกฯที่เสพติดการโชว์วิชั่น
โม้ไปเรื่อยๆ จุดพลุเรียกความสนใจไปเรื่อยๆ แต่ลงมือทำเป็นผลจริง น้อยมาก
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี