คนที่ติดตามความเป็นมาของทักษิณตั้งแต่สมัยที่เขาเริ่มเข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทยจนกระทั่งกระโดดเข้าสู่วงการการเมืองจนได้เป็นนายกรัฐมนตรี แล้วประกาศว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรียาวนาน 20 ปี แต่สุดท้ายเขาก็ต้องหมดอำนาจรัฐเพราะถูกกระทำรัฐประหาร
ต้องยอมรับว่าคนที่ติดตามพฤติกรรมการเมืองของทักษิณอย่างใกล้ชิดจะพบว่าเขาคือนักธุรกิจการเมือง ที่ใช้ภาพลวงตาว่าเขาประสบความสำเร็จทางเศรษฐกิจแล้วต้องการจะเข้ามาช่วยเหลือบ้านเมือง โดยเขาใช้คำโฆษณาชวนเชื่อว่า ผมรวยแล้ว ผมไม่โกง ซึ่งต้องบอกว่าไม่เคยมีใครรับรองว่าคนรวยไม่โกง เพราะฉะนั้นการอ้างว่ารวยแล้วไม่โกงก็คือการโฆษณาชวนเชื่อ แต่มันน่าสมเพชประเทศไทยที่ดันมีคนจำนวนไม่น้อยหลงงมงายว่าคนรวยไม่โกง
ความร่ำรวยของทักษิณมาจากการใช้อำนาจรัฐเป็นฐานและเป็นเครื่องมือ โดยเขาสร้างความร่ำรวยได้มากถึง 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ นอกจากนั้นทักษิณยังมีโครงข่ายอำนาจทักษิณ โดยเขาอาศัยฐานจากรัฐธรรมนูญ 2540 ซึ่งเป็นกฎหมายแม่บทของประเทศที่ให้อำนาจกับฝ่ายบริหารอย่างสูงส่งมากที่สุด ผสมกับประชาชนตื่นเต้นและตื่นตัวมากกับการเมืองที่พวกเขามองว่าเป็นการเมืองยุคใหม่ ที่มีนักธุรกิจซึ่งเน้นการโฆษณาชวนเชื่อว่าตนเองประสบความสำเร็จสูงสุด ประกอบกับประชาชนเบื่อหน่ายกับพฤติกรรมทรามสุดๆ ของนักการเมืองก่อนยุค 2544 เมื่อภาพลวงตาได้ครอบงำความเชื่อของคนไทยจำนวนไม่น้อย ทักษิณก็จึงก้าวเข้าสู่เวทีอำนาจรัฐอย่างสะดวก แล้วก็ใช้อำนาจรัฐแสวงหาผลประโยชน์ และความมั่งคั่งให้กับตนเองมาโดยตลอด
ทักษิณมีประสบการณ์การเมืองน้อยมากเมื่อเทียบกับนักการเมืองที่ประชาชนรู้สึกรังเกียจและขยะแขยง ด้วยความที่ทักษิณไม่มีแผลการเมือง เพราะไม่เคยอยู่ในวงการการเมือง ก็จึงทำให้ภาพลวงตาถูกขยายใหญ่และกว้างขึ้น แล้วลวงล่อให้คนที่รู้ไม่ทันทักษิณหลงเลือกพรรคไทยรักไทยของทักษิณ อย่าลืมว่าทักษิณก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีทั้งๆ ที่มีประสบการณ์การเมืองน้อยมาก เขาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแค่เพียง 100 วันเศษ ในสมัยรัฐบาลชวน หลีกภัย ซึ่งนับเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศที่มีพฤติกรรมนักการทูตที่สุดแสนพิสดาร แล้วเขาก็กระโจนไปเป็นหัวหน้าพรรคพลังธรรมแค่เพียงระยะเวลาสั้นๆ แล้วจากนั้นเขาก็ตั้งพรรคไทยรักไทยในช่วงประมาณกลางปี 2541
ทักษิณเน้นการโฆษณาชวนเชื่อตลอดเวลา เช่น อ้างว่ารวยแล้วไม่โกง อ้างว่าใช้หนี้ IMF แต่คนที่รู้ทันเล่ห์กลของทักษิณดีต่างรู้ชัดว่าทั้งหมดที่ทักษิณพูดนั้นคือการโฆษณาชวนเชื่อ กลอุบายการเมืองที่ทักษิณใช้คือการดึงเอากลุ่มอำนาจเศรษฐกิจรายสำคัญของไทยเข้าไปไว้ในแวดวงของทักษิณ ดังที่ได้พบว่ามีกลุ่มนักธุรกิจใหญ่ และกลุ่มนักการเมืองที่มีเงินทุนหนาเข้าไปรวมกลุ่มในฐานะผู้สนับสนุนพรรคไทยรักไทย แล้วพบอีกว่านักธุรกิจใหญ่หันไปสวามิภักดิ์ต่อทักษิณแทนที่จะยอมจำนนต่อกลุ่มอำนาจเก่า และกลุ่มขุนทหารระดับบิ๊กและข้าราชการพลเรือนระดับสูง
ย้อนกลับไปดูคำพูดของทักษิณในวันที่เขากล่าวในที่ประชุมใหญ่พรรคไทยรักไทย ปี 2543 ซึ่งเป็นช่วงก่อนเลือกตั้งไม่นานนัก โดยทักษิณบอกว่า “ผมขออนุญาตลูกเมีย ผมขอใช้เงินครอบครัวมาทำงานการเมือง แล้วผมจะใช้เงินของเขาเพื่อทำลายชื่อเสียงของเขาหรือครับ เพราะฉะนั้น อย่างได้กลัวความมีฐานะของผมเลยติดตามผลดีกว่าว่าผมโกหกไหม พฤติกรรมผมเป็นอย่างไร” และมีอีกคำพูดหนึ่งที่ทักษิณกล่าวประชุมพรรคไทยรักไทย เมื่อเดือนเมษายน 2544 ว่า “ผมได้รับมาจากแผ่นดินนี้มากพอแล้ว และอีก 50 ปีต่อจากนี้ถ้าอยู่ถึง 100 ปี ผมจะขอทุ่มเทกาย ใจ สมอง พลังทั้งหมด และเวลาให้กับชาติ เพราะฉะนั้น ผมเต็มใจที่จะใช้เงินที่หามาได้จากส่วนตัว เพื่อนำพรรคการเมืองพรรคหนึ่งให้เป็นพรรคที่ประชาชนหวังได้ ก่อนการปฏิรูปการเมืองจะมารับช่วงอย่างสมบูรณ์ ผมพร้อมและเต็มใจ ซึ่งมีเพื่อนๆ หลายคนที่ใช้ความมั่งคั่งส่วนตัว โดยไม่เบียดบังครอบครัวมาช่วยกันทำพรรคนี้ให้เป็นพรรคที่ไม่ทุจริตคอร์รัปชัน”
เมื่อคนรู้ทันทักษิณได้ฟังวาทกรรมการเมืองจากทักษิณก็รู้โดยพลันว่าทั้งหมดคือคำโฆษณาชวนเชื่ออย่างชัดเจน ขอย้ำว่ารวยแล้วไม่โกง เป็นเพียงการยกตนอวดตนเท่านั้น ส่วนการอ้างว่าพรรคการเมืองของทักษิณไม่ทุจริตคอร์รัปชันก็เป็นเรื่องที่วิญญูชนได้รับรู้อย่างชัดเจนแล้วว่า พรรคการเมืองของทักษิณทุจริตหรือซื่อสัตย์ แล้วที่สำคัญคือทุกคนที่ติดตามการเมืองไทยย่อมรู้ดีด้วยว่าทักษิณยึดมั่นในหลักกฎหมาย หลักผลประโยชน์ส่วนรวมหรือใช้อำนาจรัฐเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี