เมื่อวันศุกร์ที่ 16 สิงหาคม 2567 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรวาระพิเศษ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวน 319 คน ได้ลงคะแนนให้นางสาวแพทองธารชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 ของราชอาณาจักรไทย

ในการนี้ สส. ทุกคนดังกล่าว ก็น่าจะรู้มาก่อนว่า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นั้นเคยมีข้อกังขาบางประการเกี่ยวกับการสอบเข้าเป็นนิสิตนักศึกษาของคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเมื่อจบการศึกษา ก็มีตำแหน่งเป็นประธานในบริษัทธุรกิจของครอบครัว เป็นผู้ที่มีเงินทองมากมายจากความกรุณาปรานีของบิดามารดา ชนิดที่กล่าวได้ว่านางสาวแพทองธาร ชินวัตร ไม่เคยต้องทำงานทำการหาเลี้ยงชีพ ไม่ต้องแข่งขัน เพื่อความก้าวหน้า ไม่ต้องตากหน้าลำบาก กับการทำงานทำการเสมือนบุคคลทั่วๆ ไปในรุ่นราวคราวเดียวกัน ช่างเป็นเส้นทางชีวิตที่โรยไปด้วยกุหลาบเสียจริง

นอกจากนั้น ทุกคนก็ยังรู้ด้วยว่า นางสาวแพทองธารอยู่ในตระกูลการเมืองที่ยิ่งใหญ่ของไทย ซึ่งเคยเผชิญกับประเด็นปัญหาต่างๆ ทั้งทางการเมืองและกฎหมายทั้งๆ ที่บุคคลในครอบครัวเคยดำรงตำแหน่งบริหารสูงสุดของประเทศไทยถึง 3 คน

อย่างไรก็ตาม นางสาวแพทองธาร ที่เติบโตขึ้นมากับบรรยากาศครอบครัวการเมืองถูกเล่นงานทางกฎหมาย และกองทัพ โดยเฉพาะพ่อของตน
ก็ย่อมมีความไม่พึงพอใจในทำนองว่า ครอบครัวของตนมิได้รับความยุติธรรมจากสังคมไทย เนื่องจากญาติของตนต่างถูกขัดขวาง กลั่นแกล้ง และถูกเอาความและเอาโทษ และฉะนั้นจึงได้ระดมความคิดความอ่าน พละกำลังและจิตใจ ที่จะต้องพยายามหาทางเอาชนะสังคม ด้วยการกู้ชื่อเสียงวงศ์ตระกูลให้ได้ หรือนัยหนึ่งต้องการที่จะเอาคืนสิ่งต่างๆ ที่ครอบครัวได้เพลี่ยงพล้ำหรือสูญเสียไป

บัดนี้นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ได้ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีของไทยอย่างสมบูรณ์แบบแล้วก็ย่อมมีโอกาสกู้ชื่อเสียงของครอบครัว ลบล้างคำปรามาส ด้วยการควบคุมทิศทางการเมืองไทยให้อยู่ในมือ หรืออาจจะเดินซ้ำรอยเดิมของตระกูลก็ไม่มีใครทราบได้

แต่ทั้งหมดนี้ ก็กล่าวได้ว่า สส. 319 คน ได้เปิดโอกาสให้ สร้างวีรกรรมให้กับการที่ สส. 319 คน ได้ร่วมกันลงคะแนนสนับสนุนให้สุภาพสตรีไทยคนหนึ่งนามว่า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ได้ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี ทั้งที่ไม่ได้มีประสบการณ์การทำงานใดๆ และไม่มีทีท่าของความฉลาดปราดเปรื่องในความคิดอ่าน แต่เปี่ยมไปด้วยความเคียดแค้นที่อยากจะเอาคืนสังคม โดยหวังให้ครอบครัวกลับมาครองอำนาจ และขับเคลื่อนประเทศไทยไปตามความต้องการของฝ่ายตน เป็นการกระทำการที่ส่อว่า บรรดา สส. 319 คนนี้ มิได้ให้เกียรติต่อปวงชนชาวไทยและสังคมไทยในการคัดเลือก จัดหาคนดี คนเก่ง ให้เข้ามารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่กลับเป็นการดูถูกดูแคลนศักดิ์ศรีและภูมิปัญญาของคนไทย จึงเป็นการดำเนินการที่ไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะและคุณธรรมบ่งบอกว่า สส. 319 คนนี้มิได้มีความรับผิดชอบต่อบ้านเมือง ไม่มีศักดิ์ศรี ไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง แต่กระทำตัวเสมือนเป็นผู้รับใช้ เป็นสมุนบริวาร เสมือนทาสในเรือนก็เป็นได้ จัดได้ว่าเป็นวีรกรรมการเมืองที่ฉาวโฉ่ น่ารังเกียจ และกระทบต่ออนาคตของประเทศไทยอย่างแน่นอน เพราะบัดนี้ได้มีผู้นำประเทศที่ไร้ประสบการณ์ และไม่เคยมีผลงานเป็นประจักษ์ชัดแต่อย่างใด อีกทั้งนายกรัฐมนตรีคนนี้ก็จะไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง เป็นบุตรสาวของ นายทักษิณ ชินวัตร ผู้ทรงอิทธิพลอันยิ่งใหญ่ ก็หมายความว่า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ก็จะต้องเชื่อฟังผู้บิดา เพราะมีความรักเคารพบูชาผู้บิดาเป็นที่สุด ประเทศไทยเราก็จะมีนายกรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการ แต่ก็จะมีผู้บริหารกำกับดูแลนายกรัฐมนตรีด้วย เสมือนว่านางสาวแพทองธาร ชินวัตรบุตรสาวเป็นหุ่นกระบอก แล้วมีบิดาเป็นผู้ชักใย ศักดิ์ศรีและความขลังของตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในสภาพการณ์นี้ก็หมดไปโดยปริยาย ถนนทุกสายก็ต้องวิ่งไปที่นายทักษิณ ชินวัตร ก็เป็นวีรกรรมอีกอันหนึ่งของ สส. 319 คน

ทั้งหมดนี้ สังคมไทยจึงไม่น่าจะสามารถเรียกพวกเขาเหล่านั้น ว่าเป็นผู้แทนราษฎรอย่างแท้จริงได้ เพราะมิได้ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของปวงชนชาวไทยดั่งที่ได้รับมอบหมาย จึงสมควรจะถูกเรียกว่า ผู้แทนตระกูลชินวัตร มากกว่า