อุ๊งอิ๊งค์-แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนที่ 31 ของประเทศไทย ดูจะไม่รู้อะไรเลยบนโลกใบนี้แม้แต่เรื่องของตนเอง..เพราะฟังจากที่เธอให้สัมภาษณ์สื่อเมื่อตอนสายวันที่ 27 สิงหาคมวานนี้ระหว่างมาถึงที่ทำการพรรคเพื่อไทย-อาคารชินวัตร3..เรื่องการลาออกจากทุกบริษัทที่เป็น“กงสี”ของตระกูลชินวัตร
ผู้สื่อข่าวถามว่าได้ลาออกจากกรรมการบริษัทในเครือชินวัตร 21 บริษัทแล้วจริงหรือไม่..ซึ่งนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ได้ตอบคำถามนี้ว่า..“ไม่แน่ใจว่าลาออกไปกี่บริษัทแต่ยืนยันว่าอะไรที่ทำแล้ว และขัดต่อกฎหมายก็ต้องดำเนินการให้หมดซึ่งขณะนี้ทีมกฎหมายกำลังช่วยกันดำเนินการ แต่จะกี่บริษัทนั้น ไม่แน่ใจ ขอดูกฎหมายเป็นหลักค่ะ”
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีกรณีที่ไม่มีการส่งหนังสือกรอกประวัติ พล.ต.อ.พัชรวาทวงษ์สุวรรณ..นางสาวแพทองธารหรือคุณหนูอุ๊งอิ๊งค์ตอบผู้สื่อข่าวแบบถามช้างตอบกระบือว่า..“ขอให้เป็นไปตามกระบวนการ..จริงๆแล้วในคณะรัฐมนตรี..ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งใดๆ..ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนายกรัฐมนตรีอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นขอให้รอสักหน่อย”
ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า..หากรายชื่อสะเด็ดน้ำแล้ว..ขั้นตอนต่อไปนายกรัฐมนตรีจะเป็นคนตัดสินใจแต่เพียงผู้เดียวใช่หรือไม่..คุณหนูไข่ในหินซึ่งเป็นดีเอ็นเอของอดีตนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร..ตอบว่า “ใช่ค่ะ”พร้อมกับชี้แจงในรายละเอียดว่า..“การตรวจสอบคุณสมบัติมีหลายขั้นตอน..เห็นว่ามีหลายพรรคยังติดขัด”
ส่วนเรื่องตำแหน่งรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยนั้น..นายกรัฐมนตรีหญิงคนที่สองของประเทศไทยและคนที่สองของตระกูลชินวัตร วัย 38 ปีเปิดเผยว่า..ของพรรคเพื่อไทยมีการส่งรายชื่อรัฐมนตรีเกินโควตา..โดยเธอได้ขยายความในประเด็นที่ส่งรายชื่อเกินโควตาว่า..“เนื่องจากมองว่า..ส่งเกินไปก่อนเพื่อทำการตรวจสอบคุณสมบัติ..และในส่วนของพรรคเพื่อไทยอิ๊งค์ก็จะเป็นคนพิจารณาตำแหน่งเองทั้งหมด..โดยจะรับฟังและปรึกษาคนที่อยู่ในคณะรัฐมนตรีและทำงานด้วยกันในพรรค..แต่ท้ายที่สุดแล้วจะเป็นคนตัดสินใจเองค่ะ”
ผู้สื่อข่าวถามจี้ต่อว่า..จะมีปัญหาเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจกันสำหรับคนที่ไม่ได้รับหรือไม่..นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีที่ถูกบิดา“ครอบครอง”ทั้งตัวและหัวใจตอบว่า..“เรื่องของตำแหน่ง..ทุกคนก็หวังว่าจะเป็น..แต่ตัวเลือกปัจจุบันที่ดีที่สุดต้องเพื่อประเทศชาติ..และคิดว่าหลายคนที่มีประสบการณ์แล้ว..และคนที่ยังไม่มีประสบการณ์..ก็ต้องแบ่งกัน..เพราะในการทำงานต้องเล็งถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นสิ่งสำคัญ..ไม่เช่นนั้นก็จะไม่ลงตัว”
คำตอบและความเห็นสุดท้ายของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีที่“มีวันนี้เพราะพ่อให้”ในย่อหน้าข้างบนถัดขึ้นไปนี้..ฟังแล้วดูพิกลและขัดแย้งอยู่ในตัว..เธอบอกว่าตำแหน่งรัฐมนตรีนั้น..ตัวเลือกที่ดีที่สุดต้องเพื่อประเทศชาติ..แต่แล้วเธอก็เรื่อยเจื้อยแบบไม่ได้คิดหรือจะอะไรก็สุดแท้แต่..ว่า“คิดว่าหลายคนที่มีประสบการณ์แล้ว..และคนที่ยังไม่มีประสบการณ์..ก็ต้องแบ่งกัน”
ฟังแล้วก็เลยไม่รู้ว่า..ตัวเลือกอันเป็นคุณสมบัติที่ดีที่สุดของรัฐมนตรีต้องเพื่อประเทศชาตินั้น..ใช้มาตรฐานใดเป็นตัวกำหนด..เพราะเธอบอกว่า..คนที่มีประสบการณ์แล้วและคนที่ยังไม่มีประสบการณ์ต้องแบ่งกัน..ถามว่า“แบ่งเค้กกันกินหรืออย่างไร ?”
พอหันไปมองผู้เป็นบิดา คือ อดีตนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร..ซึ่งครอบครองและอาจจะเข้าข่ายครอบงำ“แพทองธาร ชินวัตร”ลูกสาวที่เป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ในเวลานี้..เปิดตัวชนิดที่ไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมใดๆทั้งสิ้น..เรียกว่ากระโดดลงมาเล่นบน“กระดานอำนาจ”อย่างเต็มตัว..หลังจากได้รับการพระราชทานอภัยโทษเมื่อวันที่ 18 สิงหาคมเป็นต้นมา ชนิดที่กระชั้นถี่..แม้แต่รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายที่เป็นหลักของบ้านเมืองก็ไม่สนใจนั้น..เป็นภาพสะท้อนได้ชัดเจนที่สุด..ว่า“ระบอบทักษิณ”กำลังฟื้นคืนชีพ..เหมือนเมื่อครั้งรัฐบาลพรรคไทยรักไทยที่มีทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีครองอำนาจ..ระหว่างปี 2544-2549
เรื่องนี้“อาจารย์แก้วสรร อติโพธิ” นักวิชาการอิสระ, อดีตรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และอดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.)..พูดได้ชัดเจนที่สุดจากบทความเรื่อง“มันมาแล้วโว๊ยยย!!!”..ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 27สิงหาคมวานนี้..ว่า“ระบอบทักษิณ” มีหน้าตาอย่างไร..ก่อนที่จะถูกคณะรัฐประหารโค่นลงจากอำนาจในวันที่ 19 กันยายน 2549..และวันนี้กำลังหวนคืนกลับมาใหม่
อาจารย์แก้วสรร อติโพธิ ชี้ว่า..“ระบอบนี้เอาเงินมาลงทุนสร้างอำนาจ..เอาอำนาจไปยึดสื่อสร้างความเชื่อ..พร้อมกับอุปถัมภ์ชาวบ้านด้วยประชานิยม..ทั้งหมดนี้ส่งผลเป็นคะแนนเลือกตั้งไปเพิ่มพูนเป็นอำนาจ..เมื่อได้อำนาจก็เอาไปสร้างเงินจนเกิดเป็นคอรัปชั่นหลากหลายตามมา..ตัวแพทองธารจะเล่นแค่ในระบบไปตามบทเท่านั้น..แต่ตัวระบอบทั้งระบอบต้องจัดการ..และสื่อสารชัดโดยทักษิณ..ผมว่าภายในหนึ่งปีนี่..ดูเอาก็แล้วกันว่า เขาจะซื้อคน, ยึดสื่อ, ยึดส่วนราชการและมวลชนได้มากมายเพียงใด..วันนี้มีเงินเต็มถัง..ทุนที่จะเข้ามาร่วมลงทุน ก็กิ๊บก๊าบเข้ามาแล้ว”
หากย้อนกลับไปดู“ระบอบทักษิณ”ในยุคที่อดีตนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ครองอำนาจนั้น..เริ่มจากสลายพรรคการเมือง..โดยดึงพรรคเสรีธรรมที่มีนายประจวบ ไชยสาส์น เป็นหัวหน้าพรรคยุบมาควบรวมเป็นกลุ่มการเมืองในพรรคไทยรักไทยชื่อว่า“กลุ่มวังพญานาค”..จากนั้นก็ควบรวมพรรคความหวังใหม่ของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ..ที่มีนายเสนาะ เทียนทองหัวหน้า“กลุ่มวังน้ำเย็น”ติดเข้ามาด้วยกับพรรคความหวังใหม่..รวมทั้ง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง..เป็นผลทำให้พรรคไทยรักไทยจากที่มี สส.หลังเลือกตั้งเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2544 จำนวน 248 คนเพิ่มขึ้นเป็น 295 คนทันที..จากจำนวน สส.ในสภาฯที่มีทั้งหมด 500 คน..และในปี 2548 ก็ยังได้พรรคชาติพัฒนาของ“สุวัจน์ ลิปตพัลลภ”ยุบรวมเข้ามาอีก
ปี 2545 หลังจากรัฐบาลพรรคไทยรักไทยบริหารประเทศมาได้หนึ่งปี..ก็ขยับไปยึดส่วนราชการ..โดยการปฏิรูประบบราชการ..มีการจัดแบ่งกระทรวงทบวงกรมใหม่..จากเดิมมี 14 กระทรวง ก็เพิ่มเป็น 20 กระทรวง..พร้อมกับจัดสรรข้าราชการที่ยอมทอดตัวรับใช้ไปลงตำแหน่งที่สำคัญๆในแต่ละกระทรวง..ตั้งแต่ปลัดกระทรวงลงไปถึงอธิบดีและผู้อำนวยการกอง..เรียกว่าเปลี่ยน“ไพ่”ใหม่ทั้งสำรับ
เมื่อเข้าไปยึดกุมอำนาจทั้งทางการเมืองและในส่วนราชการได้อย่างเบ็ดเสร็จแล้ว..“ทักษิณ ชินวัตร”โดยรัฐบาลพรรคไทยรักไทยก็บริหารประเทศโดยใช้“นโยบายประชานิยม”ที่มีผลประโยชน์ทับซ้อนกับโครงการของรัฐ..รวมทั้งนโยบายแปลงสินทรัพย์เป็นทุนและแปรรูปรัฐวิสหากิจ..อันเป็นที่มาของการทุจริตคอรัปชั่นอย่างมโหฬาร
ที่กล่าวมานั้นก็เพื่อต่อภาพให้เห็นดังที่อาจารย์แก้วสรร อติโพธิ เขียนไว้ในบทความว่า..”เมื่อได้อำนาจก็เอาไปสร้างเงินจนเกิดเป็นคอรัปชั่นหลากหลายตามมา”
สรุปแล้ว ที่“อาจารย์แก้วสรร อติโพธิ” ตะโกนไว้ในบทความว่า..“มันมาแล้วโว๊ยยย!!!”นั้น..มันมาจริงๆจะเห็นได้ว่าเวลานี้..ไม่เพียงแต่ 2 พรรคการเมือง..คือพรรคพลังประชารัฐ กับพรรคพลังประชาธิปัตย์จะแตกแยกกันเองเพราะ“แย่งชามข้าวสุนัข”เรื่องโควต้ารัฐมนตรีแล้ว..สื่อก็กำลังถูกยึดไปเรื่อยๆ
ขณะที่นโยบายประชานิยม..นอกจาก“โครงการดิจิทัลวอลเล็ต”ที่จะแปรเปลี่ยนเป็นจ่ายเงินสด 1หมื่นบาทให้แก่กลุ่มเปราะบาง 13.5 ล้านคน และคนพิการอีกประมาณ 1 ล้านคนแล้ว..เรื่อง“เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์”ก็น่าจับตาว่าใครและกลุ่มทุนไหนจะได้ผลประโยชน์บ้าง..รวมไปถึงเรื่องที่“ทักษิณ ชินวัตร”ไปพูดในงานดินเนอร์ทอล์กของสื่อเครือเนชั่นที่สยามพารากอน..เกี่ยวกับแนวคิดให้ต่างชาติเช่าที่ดิน 99 ปี..เรื่องนี้ก็ไม่ต่างจากนโยบายแปลงสินทรัพย์ให้เป็นทุนสมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทย..เท่ากับเป็นการแปลง“ผืนแผ่นดินไทย”เป็นทรัพย์แล้วจัดสรรผลประโยชน์..ระหว่างกลุ่มทุนใหญ่ด้านอสังหาริมทรัพย์เพียงไม่กี่ตระกูล
นับจากนี้ไปเมื่อ“มันมาแล้วโว๊ยยย!!!” อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด..เพราะบ้านเมืองไม่ใช่ของใครคนหนึ่งคนใด-ดังเพลงฝรั่งที่ว่า“Whatever Will Be, Will Be.” !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี