เป็นอันว่า คดีบอส หรือคดีที่สืบเนื่องจากการกลับคำสั่งไม่ฟ้อง นายวรยุทธ หรือ บอส อยู่วิทยา ในข้อหาขับรถยนต์ชนตำรวจเสียชีวิตเมื่อปี 2555 โดยมีขบวนการช่วยเหลือในการเปลี่ยนพยานหลักฐานด้านความเร็วของรถยนต์ ได้เดินไปถึงชั้นศาลแล้ว เมื่อวันที่ 29 ส.ค. 2567
ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง เผยแพร่ข่าวระบุว่า คดีนี้ ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางรับคดีไว้พิจารณา เป็นคดีอาญาหมายเลขดำที่ อท 131/2567
นัดสอบคำให้การจำเลย ในวันที่ 10 กันยายน 2567 เวลา 09.30 น.
ศาลอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยทั้งแปด และมีคำสั่งห้ามจำเลยทั้งแปดออกราชอาณาจักร เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากศาล
เบื้องต้น จำเลยทุกรายให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา
1. คดีนี้ ถ้าไม่ใช่รัฐบาลลุงตู่ ก็ไม่รู้ว่าจะเอาผิดใครได้หรือไม่?
หรือขบวนการทั้งหมด อาจจะลอยนวล? บอสอาจจะได้กลับบ้านแบบเท่ๆ แล้วก็ได้ ใครจะไปรู้?
เพราะในยุครัฐบาลลุงตู่ ได้ตั้งคณะกรรมการอิสระขึ้นมาตรวจสอบ โดยอาจารย์วิชา มหาคุณ เป็นประธาน
ทำให้สังคมได้เข้าถึงข้อมูลความจริงแห่งพฤติการณ์ และนำเรื่องเข้าสู่การตรวจสอบดำเนินคดีตามกฎหมาย
2. คำฟ้องบางส่วน ระบุถึงประเด็นแห่งคดีว่า
“...จำเลยทั้งแปดได้กระทำความผิด จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ได้อาศัยโอกาสที่ตนเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบร่วมกับจำเลยที่ 4 ถึงที่ 7 สมคบกัน กระทำผิดด้วยการวางแผนร่วมกันเปลี่ยนแปลงความเร็วของรถยนต์คันที่นาย ว. ขับขี่ในวันเกิดเหตุเฉี่ยวชนกับรถจักรยานยนต์คันที่ ดาบตำรวจ ว. ขับขี่จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายและดาบตำรวจ ว. ถึงแก่ความตาย จากความเร็วของรถยนต์ตามรายงานการตรวจพิสูจน์ของกลุ่มงานตรวจทางเคมีฟิสิกส์กองพิสูจน์หลักฐานกลาง ลงวันที่ 26 กันยายน 2555 ซึ่งมีพันตำรวจเอก ธ. เป็นผู้จัดทำรายงานไว้ว่ารถยนต์คันที่นาย ว. ขับขี่มีความเร็วโดยเฉลี่ย 177 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีความคลาดเคลื่อนมากขึ้นหรือน้อยลงประมาณ 17 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ให้เป็นความเร็วไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตามที่ได้วางแผนกัน...”
โดยจำเลยทั้ง 8 ราย ประกอบไปด้วย
(1) พลตำรวจเอก สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งกรรมาธิการ ในคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และกิจการตำรวจ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ
(2) พลตำรวจตรี ธวัชชัย เมฆประเสริฐสุข เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้บังคับการกองพิสูจน์หลักฐาน
(3) พันตำรวจเอก วิรดล ทับทิมดี เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งพนักงานสืบสวนสอบสวน (สบ 3) สถานีตำรวจนครบาลทองหล่อ
(4) นายเนตร นาคสุข เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองอัยการสูงสุด
(5) นายชัยณรงค์ แสงทองอร่าม พนักงานอัยการ
(6) นายธนิต บัวเขียว
(7) นายชูชัย หรือพิชัย เลิศพงศ์อดิศร
(8) รองศาสตราจารย์ ดร.สายประสิทธิ์ เกิดนิยม
ขณะนี้ จำเลยทุกคน ยังถือเป็นผู้บริสุทธิ์ ศาลยังไม่พิพากษาว่ามีความผิด
3. อุทาหรณ์จากคดีนี้ น่าจะเตือนสติบุคคลในกระบวนการยุติธรรมรวมไปถึงผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง อย่าคิดกระทำผิด เอื้อประโยชน์ช่วยเหลือโดยมิชอบแก่บุคคลที่ถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
จะเห็นได้ว่า รูปการณ์ของคดี ตามที่พนักงานอัยการโจทก์ฟ้อง สรุปความได้ว่า
คดีนี้ เมื่ออธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ พิจารณาแล้ว มีคำสั่งฟ้องนาย ว. ในข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ชนรถของผู้อื่นเสียหายและมีผู้ถึงแก่ความตาย ขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด และขับรถในทางก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลและทรัพย์สินของผู้อื่น ไม่หยุดรถและให้ความช่วยเหลือตามสมควรฯ และมีคำสั่งไม่ฟ้องนาย ว. ในข้อหาขับรถในขณะเมาสุราเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ยุติการดำเนินคดีกับ ดาบตำรวจ ว. ในข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ชนรถของผู้อื่นเสียหาย
ต่อมา จำเลยที่ 8 ในฐานะพนักงานอัยการผู้มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาสั่งคดี ที่มีการร้องขอความเป็นธรรมต่ออัยการสูงสุด ได้พิจารณาคำร้องขอความเป็นธรรมของนาย ว. และมีคำสั่งไม่ฟ้องนาย ว. ความผิดฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ โดยผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่ได้รับมอบหมาย ไม่แย้งคำสั่งพนักงานอัยการ คำสั่งไม่ฟ้อง จึงเป็นอันเด็ดขาด
ขณะเกิดเหตุ จำเลยที่ 1 ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติและเป็นคณะกรรมาธิการการกฎหมาย กระบวนการยุติธรรมและกิจการตำรวจ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ จำเลยที่ 2 ขณะเกิดเหตุดำรงตำแหน่งผู้บังคับการกองพิสูจน์หลักฐานกลาง สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำเลยที่ 3ขณะเกิดเหตุดำรงตำแหน่งพนักงานสอบสวนตำรวจนครบาล 4 กองบัญชาการตำรวจนครบาล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำเลยที่ 4 ถึงที่ 7 ในขณะเกิดเหตุมิได้มีสถานะหรือได้กระทำการในสถานะเป็นเจ้าพนักงาน แต่เป็นบุคคลผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานตามกฎหมาย หรือเจ้าพนักงานของรัฐในการกระทำผิด
จำเลยที่ 8 ขณะเกิดเหตุดำรงตำแหน่งอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอัยการศาลสูงรักษาการในตำแหน่งรองอัยการสูงสุด ได้รับมอบหมายและมอบอำนาจให้ปฏิบัติราชการแทนอัยการสูงสุด
เมื่อระหว่างวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2559 เวลากลางวัน ถึงวันที่ 13 มิถุนายน 2563 เวลากลางวัน จำเลยทั้งแปดได้กระทำความผิด จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ได้อาศัยโอกาสที่ตนเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบร่วมกับจำเลยที่ 4 ถึงที่ 7 สมคบกัน กระทำผิดด้วยการวางแผนร่วมกันเปลี่ยนแปลงความเร็วของรถยนต์คันที่นาย ว. ขับขี่ในวันเกิดเหตุเฉี่ยวชนกับรถจักรยานยนต์คันที่ ดาบตำรวจ ว. ขับขี่จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายและดาบตำรวจ ว. ถึงแก่ความตาย จากความเร็วของรถยนต์ตามรายงานการตรวจพิสูจน์ของกลุ่มงานตรวจทางเคมีฟิสิกส์กองพิสูจน์หลักฐานกลาง ลงวันที่ 26 กันยายน 2555 ซึ่งมีพันตำรวจเอก ธ. เป็นผู้จัดทำรายงานไว้ว่ารถยนต์คันที่นาย ว.ขับขี่มีความเร็วโดยเฉลี่ย 177 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีความคลาดเคลื่อนมากขึ้นหรือน้อยลงประมาณ 17 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ให้เป็นความเร็วไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตามที่ได้วางแผนกัน
โดยให้จำเลยที่ 5 ดำเนินการยื่นคำร้องขอความเป็นธรรม ครั้งที่ 9 ต่อพนักงานอัยการในคดีที่นาย ว. เป็นผู้ต้องหา ขอให้สอบพยาน พันตำรวจเอก ธ. ในประเด็นเกี่ยวกับการคำนวณความเร็วของรถยนต์คันที่นาย ว. ขับขี่
เมื่อพนักงานอัยการมีคำสั่งให้สอบสวนเพิ่มเติม พันตำรวจเอก ธ. ตามที่ร้องขอ จำเลยที่ 5 และจำเลยที่ 6 ได้ทำหน้าที่ติดต่อประสานงานกับจำเลยที่ 7 ซึ่งเป็นอาจาจารย์ประจำมหาวิทยาลัย ให้ดำเนินการคิดวิธีคำนวณความเร็วของรถยนต์คันที่นาย ว. ขับก็ให้มีความเร็วไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และจำเลยที่ 7 ได้คิดค้นหาวิธีคำนวณโดยใช้วิธีนำความยาวของรถยนต์คันที่นาย ว. ขับขี่แล่นผ่านจุดใดจุดหนึ่งตามภาพที่ได้จากคลิปไฟล์ภาพที่ไม่ใช่ไฟล์ภาพต้นฉบับมาใช้คำนวณจนทำให้คำนวณความเร็วรถยนต์ได้ไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อันเป็นการคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงอย่างมาก
จากนั้นจำเลยที่ 3 อาศัยโอกาสที่ตนเป็นพนักงานสอบสวนมีหน้าที่สอบสวนเพิ่มเติม พันตำรวจเอก ธ. ตามคำสั่งให้สอบสวนเพิ่มเติมของพนักงานอัยการ โดยนัดแนะและให้จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 จำเลยที่ 4 จำเลยที่ 5 และจำเลยที่ 7 เข้าร่วมการสอบปากคำดังกล่าวด้วย
จากนั้น ในขณะการสอบปากคำเพิ่มเติมจำเลยที่ 3 ได้ปล่อยให้จำเลยที่ 7 ได้แสดงวิธีคิดคำนวณความเร็วรถยนต์ตามที่ได้นัดแนะกับจำเลยที่ 5 และจำเลยที่ 6 ให้ พันตำรวจเอก ธ. ดูเพื่อโน้มน้าว พันตำรวจเอก ธ. ให้เชื่อคล้อยตามวิธีคิดคำนวณของจำเลยที่ 7 ที่ตระเตรียมมา โดยจำเลยที่ 1 ซึ่งร่วมกับจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้บังคับบัญชาของพันตำรวจเอก ธ. อาศัยโอกาสที่มีอำนาจหน้าที่ร่วมกับจำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 5 ทำการใช้อิทธิพลบังคับกดดันและโน้มน้าวพันตำรวจเอก ธ. ให้ยึดถือวิธีการคิดคำนวณตามที่จำเลยที่ 7 นำเสนอ
ในที่สุด ก็ได้มีการจัดทำคำให้การพร้อมกับทำการเปลี่ยนแปลงแก้ไขวันที่ให้การ....
จากรูปการณ์ข้างต้น
จะเห็นว่า เมื่อเทียบกับกรณีนายทักษิณ ชินวัตร ถูกครหาว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐเอื้อประโยชน์ช่วยเหลือ ทำให้ไม่ต้องติดคุกในเรือนจำ แต่อ้างเหตุป่วยไปอยู่โรงพยาบาล
ขณะนี้ เรื่องอยู่ในชั้นการตรวจสอบของ ป.ป.ช.
และในส่วนของ กสม. ก็ได้สรุปรายงาน ยืนยันแล้วว่า มีการเลือกปฏิบัติเอื้อประโยชน์แก่นายทักษิณ ชินวัตร
ทั้งกรณีคดีบอส และกรณีทักษิณ ถูกกล่าวหาว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปพัวพัน เอื้อประโยชน์ ช่วยเหลือผู้ต้องการหรือนักโทษโดยมิชอบ
กรณีบอส มีการตรวจสอบด้านความเร็ว มีผู้เชี่ยวชาญเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
กรณีทักษิณ มีเรือนจำ มีโรงพยาบาล มีแพทย์ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
รอดูว่า บทจบของกรณีทักษิณ จะเป็นเหมือนคดีบอส หรือไม่?
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี