นับตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ 2475 เป็นต้นมา คนทั้งหลายก็หวังตั้งใจว่าการเมืองของประเทศไทยจะดีขึ้น ประเทศไทยจะเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้ามากขึ้นเร็วขึ้น วันเวลาผ่านไปแล้วกว่า 80 ปี แต่ทุกสิ่งทุกอย่างไม่เพียงจะไม่ดีขึ้น กลับจะย่ำแย่ลงไปยิ่งกว่าเก่า จนหาหลักยึดอันใดไม่ได้ และความหวังของอาณาประชาราษฎร์ช่างห่างไกลออกไปทุกที ไม่ต่างกับกระทงที่ลอยอยู่ในกระแสน้ำที่จะห่างออกจากฝั่งมากขึ้นทุกทีฉะนั้น
ในวงการเมืองของประเทศอันเป็นจุดเริ่มต้นของอำนาจรัฐและผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน มีแต่คนอวดอ้างว่าเป็นนักประชาธิปไตย ใฝ่ในคุณงามความดี ชิงชังรังเกียจความชั่วร้ายทั้งหลาย โดยเฉพาะการประกาศตนเป็นนักประชาธิปไตย ต่อต้านเผด็จการทุกรูปแบบ มีให้เห็นเกลื่อนกลาดไปในห้วงเวลาที่ผ่านมา
หลายช่วงหลายยุคที่มีความไม่พอใจในอำนาจรัฐ ก็ตั้งข้อกล่าวหากันตามความพอใจว่าเป็นเผด็จการบ้าง ทรราชบ้าง โกงชาติบ้างสารพัดที่จะยกขึ้นเป็นข้อหาว่ากล่าว และหลายครั้งก็เป็นผลให้มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล แล้วบรรดาผู้ก่นด่าทั้งหลายก็พากันเข้าไปสวมอำนาจแทน
จากนั้นเหตุการณ์โกงชาติฉ้อราษฎร์บังหลวงกดขี่ข่มเหงราษฎร โกหกกะล่อนปลิ้นปล้อนสารพัดก็เกิดขึ้น ในที่สุดพวกวิญญูชนจอมปลอมเหล่านั้นก็พากันตกจากเก้าอี้แล้วกลับมาสวมเสื้อคลุมเป็นคนดีเป็นนักประชาธิปไตยกันใหม่ แล้วกล่าวหาใครก็ตามที่เป็นรัฐบาล วนไปเวียนมากันอยู่อย่างนี้และหลายครั้งหลายหนก็มีการสลับฉากคั่นด้วยการยึดอำนาจแล้วจัดให้มีการเลือกตั้ง แล้ววงจรอุบาทว์ก็วนเวียนซ้ำรอยกันอยู่อย่างนี้
จนถึงปี 2548 ก็มีการชักชวนกันให้ขับไล่รัฐบาลที่ถูกตั้งข้อกล่าวหาว่าเป็นระบอบทักษิณ บรรดาข้อหาว่าชั่วช้าเลวทรามทั้งหลายถูกโถมถั่งประดังเข้าหารัฐบาล และทำให้ผู้คนออกมาเข้าร่วมขับไล่รัฐบาลเป็นอันมาก จนในที่สุดก็เกิดการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 แล้วได้รัฐบาลขิงแก่เข้ามาแทน ก็เกิดความขัดแย้งทางการเมืองเหลือง-แดง และความไม่เอาไหนอย่างกว้างขวางจนในที่สุดเมื่อมีการเลือกตั้ง สิ่งที่เรียกว่าระบอบทักษิณก็กลับมาอีก
จากนั้นก็มีการชักชวนกันขับไล่รัฐบาลที่ถูกตั้งข้อหาเดิมว่าเป็นระบอบทักษิณกันอย่างขนานใหญ่ ผู้คนหลงเชื่อเข้าร่วมขับไล่รัฐบาลกันหลายล้านคน มีผู้คนบาดเจ็บ ล้มตาย เสียเงินเสียทองสุดคณานับ จนในที่สุดก็เกิดการยึดอำนาจเมื่อ 22 พฤษภาคม 2557 และคณะรัฐประหารได้เข้าสวมอำนาจทั้งในรูปแบบของคณะรัฐประหารเองและในรูปแบบประชาธิปไตยจำลองต่อเนื่องมากว่า 9 ปี จนกระทั่งมีการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญฉบับอัปยศที่สุดในโลกในปี 2566
ผลการเลือกตั้งปรากฏว่าประชาชนมอบฉันทามติให้พรรคก้าวไกลจัดตั้งรัฐบาล โดยเลือกตั้งเข้ามามากที่สุดเป็นลำดับที่หนึ่ง พรรคเพื่อไทยเป็นลำดับที่สอง แต่ผู้ครองอำนาจรัฐหวาดกลัวพรรคก้าวไกลว่าจะเป็นภัยต่อสถาบันต่างๆ ของชาติ จึงดำเนินแผนการต่างๆ ขัดขวางไม่ให้พรรคก้าวไกลจัดตั้งรัฐบาล จนกระทั่งนำไปสู่การยุบพรรคในปี 2567 และเกิดเป็นพรรคประชาชนขึ้นมาใหม่ในท่ามกลางเสียงสนับสนุนของประชาชน
เพราะความหวาดกลัวต่อพรรคก้าวไกลจึงไปสนับสนุนให้พรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาล โดยจุดธูปเทียนอัญเชิญให้นายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งลี้ภัยอยู่ในต่างประเทศเดินทางกลับประเทศไทย โดยขอรับพระราชทานอภัยโทษให้เสร็จสรรพ และกำหนดภารกิจด้วยว่าให้กลับมานำความรู้ความสามารถและประสบการณ์มาช่วยเหลือประเทศชาติและประชาชน นายทักษิณ ชินวัตร จึงได้เดินทางกลับประเทศด้วยลักษณะนี้
เป็นเหตุให้พรรคเพื่อไทยได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล แต่ในที่สุดนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสินของพรรคเพื่อไทยก็ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่ง จนต้องมีการเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ด้วยคะแนนเสียง 139 เสียง เลือกนางสาวแพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 และมีการจัดตั้งรัฐบาลผสมขึ้น
ปรากฏว่านักการเมืองที่เคยเป็นหัวหอกชักชวนให้ประชาชนออกมาขับไล่ระบอบทักษิณพากันไปสยบซบอยู่กับพรรคเพื่อไทยรวมเป็นพรรคร่วมรัฐบาลไปเรียบร้อย โดยสรรหาถ้อยคำที่เปี่ยมเล่ห์มาอ้างกับประชาชน แต่โดยผลก็คือสยบยอมเข้าเป็นพวกของระบอบทักษิณที่พวกตนเคยชักชวนประชาชนออกมาขับไล่นั่นเอง
ถ้าหากนำเทปคำปราศรัยของพวกหัวโจกเหล่านี้เอามาทบทวนดู ก็แทบไม่มีใครเชื่อว่าคนที่พูดได้ขนาดนั้นจะยอมก้มหัวซุกชายกระโปรงของผู้นำพรรคเพื่อไทยได้ แต่มันก็เป็นไปแล้ว ซึ่งจะเป็นบทเรียนให้แก่ประชาชนว่านับแต่นี้ไปเบื้องหน้า หากผีสางตนใดมาชักชวนให้ประชาชนออกไปขับไล่รัฐบาลอีกก็ต้องสังวรให้จงหนัก เพราะเมื่อวันใดที่ผลประโยชน์ของคนเหล่านั้นลงตัวไปกันได้เขาก็พร้อมถีบหัวประชาชนให้เจ็บฟรี ตายฟรี เสียเงินเสียทองหรือทะเลาะกันฟรีๆ เหมือนที่เป็นมาแล้วนั่นเอง
ดังนั้นสภาพการเมืองปัจจุบันนี้จึงไม่ต่างกับแกงจับฉ่ายหม้อใหญ่ที่มีเศษหมู เศษผัก เศษเต้าหู้อะไรก็จับไปโยนลงหม้อเดียวกัน บ้านเมืองของเราจึงตกอยู่ในสภาพอย่างนี้ด้วยประการฉะนี้แล
แต่ทว่าสิ่งหนึ่งที่ประชาชนได้รับบทเรียนอันเจ็บปวดก็คือ นับแต่นี้ไปไม่ว่าใครมาชวนขับไล่รัฐบาล ก็ต้องตั้งคำถามในใจว่าวันหนึ่งข้างหน้าพวกมึงจะไปร่วมสังฆกรรมกัน แล้วทิ้งให้ประชาชนเป็นหมูหมาเหมือนครั้งนี้อีกหรือไม่ และถ้าขับไล่รัฐบาลไปแล้ว จะมีหมูหมากาไก่คนไหนที่จะมาสวมรอยอำนาจรัฐไปครอง?
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี