จากกรณีที่ศาลปกครองสูงสุด พิพากษาให้กรุงเทพมหานคร (กทม.) และ บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด ร่วมกันชำระหนี้ค่าเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายประมาณ 1.2 หมื่นล้านบาท
น่าตกใจ... จนป่านนี้ กทม.ยังไม่ได้เข้าไปพูดคุยเจรจาใดๆ กับทางบีทีเอส เพื่อทุเลาหรือยุติดอกเบี้ยจากหนี้ค่าเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียว ที่จะเพิ่มขึ้นทุกวันๆ
1. หนี้ค่าเดินรถสายสีเขียว 11,755 ล้านบาท
เมื่อวันที่ 26 ก.ค.2567 ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาชี้ขาด คดีหมายเลขดำที่ อ.2226/2565 คดีผิดสัญญาการให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุง โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยายที่ 1 ตามสัญญาเลขที่ กธ.ส.006/55 ลงวันที่ 3 พฤษภาคม 2555 ส่วนต่อขยายที่ 2 ตามสัญญาเลขที่ กธ.ส.024/59 ลงวันที่ 1 สิงหาคม 2559
ก่อนหน้าจะฟ้องคดี บีทีเอสเคยทวงถามเงินไปกับทาง กทม. โดยทำหนังสือไปตั้งแต่วันที่ 18 กันยายน 2563 และหนังสือลงวันที่ 15 มกราคม 2564 แต่ถูกเพิกเฉย
ศาลปกครองสูงสุดพิพากษาชี้ขาด ให้ กทม.กับกรุงเทพธนาคม ผู้ร่วมกันชำระเงิน สำหรับหนี้ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุงโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยายที่ 1จำนวน 2,348,659,232 บาท พร้อมดอกเบี้ยของต้นเงินจำนวน 2,199,091,830.27 บาท และสำหรับหนี้ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุงโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยายที่ 2 จำนวน 9,406,418,719 บาท พร้อมดอกเบี้ยของต้นเงินจำนวน 8,786,765,195 บาท
ตามอัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดีประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (MLR) ซึ่งประกาศโดยธนาคารกรุงไทยจำกัด (มหาชน) สำหรับเงินกู้สกุลเงินบาท บวกร้อยละ 1 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จสิ้นให้แก่ทางบีทีเอส โดยให้ชำระแล้วเสร็จภายใน 180 วัน นับแต่วันที่คดีถึงที่สุด
2. ประการสำคัญ ศาลปกครองสูงสุด โดยที่ประชุมใหญ่ ได้ชี้ขาดว่า
การดำเนินการในการทำสัญญาให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุงฯนี้ ไม่ขัดต่อประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 58 ลงวันที่ 26 ม.ค.2515, มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 ก.พ.2543 และวันที่ 7 พ.ย.2549, พ.ร.บ.ว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ.2535, พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ.2528 และข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง การพัสดุ พ.ศ.2538 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
สัญญาว่าจ้างเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียว ทั้งในส่วนต่อขยายหนึ่งและส่วนต่อขยายสอง จึงมีสภาพบังคับสมบูรณ์ ไม่เป็นโมฆะ และไม่ฝ่าฝืนมติคณะรัฐมนตรี ไม่ต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติร่วมลงทุน พ.ศ. 2535
3. เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม หลังศาลปกครองพิพากษา นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ยืนยันว่า กทม. พร้อมทำตามคำสั่งศาล
อ้างว่า ที่ผ่านมาเรื่องการไม่จ่ายเงินค่าจ้างเดินรถให้บีทีเอส ไม่ได้เริ่มขึ้นในสมัยที่ตนมาเป็นผู้ว่าฯกทม. แต่เกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้ รวมถึงเรื่องคดีความ ดังนั้น หากจะนำเงินค่าจ้างเดินรถไปจ่ายให้เอกชนก็ไม่สามารถทำไดั เพราะเรื่องทั้งหมดอยู่ในชั้นศาลฯ จึงต้องรอให้ศาลฯ มีคำสั่งออกมา หลังจากนี้ต้องดำเนินการตามกระบวนการที่ต้องได้รับการเห็นชอบจากสภากทม. คาดว่าจะใช้ไทม์ไลน์ประมาณ 140 วัน และดำเนินการทั้งหมดเสร็จสิ้นก่อน 180 วัน
เมื่อถูกถามถึงมูลหนี้ค่าเดินรถทั้งหมดประมาณ 4 หมื่นล้านบาท?
นายชัชชาติ ระบุว่า ในการจ่ายหนี้ให้บีทีเอสนั้นต้องว่าไปตามคำสั่งศาลคดีแรกก่อน ส่วนคดีที่ค้างอยู่ในศาลฯ จะต้องหารือกันอีกครั้งว่าจะจ่ายหนี้อย่างไร โดยจะต้องดำเนินทีละขั้นตอนและดูฐานะทางการเงินของกทม.ประกอบด้วย ที่ผ่านมา กทม. ก็ได้จ่ายหนี้ค่า E&M จำนวน 2.3 หมื่นล้านบาท ดังนั้น เมื่อมีคำสั่งศาลฯมาต้องดำเนินการหนี้ก้อนแรกก่อน
4. ในความเป็นจริง นอกจากหนี้ค่าเดินรถและซ่อมบำรุงรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย ช่วงเดือน พ.ค.2562- พ.ค. 2564 หรือก้อนที่ศาลปกครองสูงสุดพิพากษาไปแล้วนั้น
เมื่อสัญญาดังกล่าว ศาลปกครองสูงสุดชี้ขาดแล้วว่า มีสภาพบังคับสมบูรณ์ ไม่เป็นโมฆะ
ดังนั้น การเดินรถที่ทำตามสัญญาเดียวกัน ในช่วงระยะเวลาต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน เมื่อเอกชนเดินรถให้อย่างถูกต้องครบถ้วน กทม.ก็มีภาระจะต้องจ่ายค่าเดินรถเขาด้วย
ยอดหนี้ค่าเดินรถค้างชำระเหล่านี้ ก็มีดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นทุกวัน
สำหรับหนี้ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุงสิ้นสุด ณ วันที่ 25 กรกฎาคม 2567 มีจำนวนรวมกว่า 39,402 ล้านบาท แบ่งเป็น
ยอดหนี้ ค่าเดินรถและซ่อมบำรุง ช่วงเดือน พ.ค.2562- พ.ค. 2564 (ตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2567) จำนวนกว่า 11,755 ล้านบาท
ยอดหนี้ ค่าเดินรถและซ่อมบำรุง ช่วงเดือนมิถุนายน 2564 -ตุลาคม 2565 เป็นเงินจำนวนกว่า 11,811 ล้านบาท
ยอดหนี้ ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุง ช่วงเดือนพฤศจิกายน 2565 - มิถุนายน 2567 จำนวนกว่า 13,513 ล้านบาท
และยังมีค่าจ้างงานเดินรถและซ่อมบำรุง หลังจากนั้นไปจนถึงสิ้นสุดสัมปทาน ปี พ.ศ. 2585
เฉพาะที่เอกชนคู่สัญญาเดินรถให้ตามสัญญาแล้ว ส่งงานไปแล้ว ยอดรวมหนี้เป็นจำนวนเงินเกือบ 4 หมื่นล้านบาท
หากล่าช้า ก็จะมีดอกเบี้ยอีกต่างหาก และเพิ่มทุกวัน วันละประมาณ 7 ล้านบาท !
5. กทม.ย้อนแย้ง หรือกลั่นแกล้งเอกชน?
ในเมื่อคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดชี้ขาดออกมาแล้ว ย่อมไม่มีเหตุผลที่จะไม่จ่ายหนี้
และเมื่อผู้ว่าฯชัชชาติอ้างเองว่า จ่ายแน่ เหตุใดจึงไม่รีบเข้าไปเจรจาพูดคุยกับทางบีทีเอส เพื่อขอทุเลาดอกเบี้ยไม่ให้เดินไปเรื่อยๆ
การให้ดอกเบี้ยเดินไปเรื่อยๆ ทุกวัน ไม่มีวันหยุด จะทำให้หนี้ค่าเดินรถทั้งหมด รวมดอกเบี้ย เป็นดินพอกหางหมูอย่างรวดเร็ว
ภาระดอกเบี้ยรวม จะเพิ่มประมาณวันละ 7 ล้านบาท !
ย้ำ... ทุกวัน ไม่เว้นวันหยุดราชการ วันละ 7 ล้านบาท
หาก กทม.จะจ่ายหนี้อยู่แล้ว ก่อนเวลา 180 วัน ทำไมไม่รีบเข้าไปพูดคุยกับบีทีเอส เพื่อเจรจายุติการเพิ่มดอกเบี้ยเสียทันที โดยเร็วที่สุด และอาจเจรจาผ่อนผันหนี้ค่าเดินรถสายสีเขียวในช่วงระยะเวลาต่อมาจากก้อนตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดคดีดังกล่าวนี้ได้ด้วย
เป็นการกระทำย้อนแย้ง หรือเจตนาเตะถ่วงดึงเช็ง กลั่นแกล้งเอกชน?
เพราะการที่เอกชนต้องกู้ยืมเงินจากที่อื่นมาบริหารจัดการเดินรถ เนื่องจากไม่ได้รับค่าจ้างเดินรถตามสัญญา ก็ต้องมีภาระดอกเบี้ยเพิ่มไปเรื่อยๆ เช่นกัน ตราบใดที่ยังเดินรถอยู่ ไม่ยุติการเดินรถ ซึ่งจะทำให้ประชาชนเดือดร้อน และ กทม.ก็ยังไม่ยอมจ่ายค่าเดินรถแก่เขา ทั้งๆ ที่ ควรจ่ายตามสัญญา โดยไม่ต้องรอเอกชนฟ้องศาลด้วยซ้ำ
ประการสำคัญ... กทม.อ้างเองว่า ไม่มีเจตนาจะไปรอคดีที่ ป.ป.ช.ดำเนินคดีและชี้มูลอดีตผู้ว่าฯม.ร.ว.สุขุมพันธุ์และพวก
นั่นก็เพราะศาลปกครองสูงสุดชี้ชัดว่า สัญญาว่าจ้างเดินรถทั้งในส่วนต่อขยายหนึ่งและส่วนต่อขยายสอง มีสภาพบังคับสมบูรณ์ ไม่เป็นโมฆะ และไม่ฝ่าฝืนมติคณะรัฐมนตรี ไม่ต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติร่วมลงทุน พ.ศ. 2535
และกรณีที่ ป.ป.ช.ดำเนินคดี ก็เป็นเรื่องเฉพาะส่วนต่อขยาย 1 ซึ่ง กทม.ไม่เคยโต้แย้งและชำระหนี้ให้กับบีทีเอสมาโดยตลอด โดยการนำเงินค่าโดยสารที่จัดเก็บในส่วนต่อขยาย 1 มาชำระให้กับบีทีเอสเป็นประจำทุกเดือน
แต่น่าแปลกใจ ส่วนที่ไม่ได้มีคดีความ คือ ส่วนต่อขยาย 2 กทม.และกรุงเทพธนาคม กลับไม่นำเงินที่เก็บค่าโดยสารมาชำระให้กับบีทีเอส!!!
แบบนี้ ใช้มาตรฐานใดดำเนินการ ?
เข้าข่ายเจตนาเตะถ่วง ดึงเช็ง หรือกลั่นแกล้งเอกชน หรือไม่?
ดังนั้น เมื่อศาลปกครองสูงสุด โดยที่ประชุมใหญ่ ได้วินิจฉัยชี้ขนาดในประเด็นข้อต่อสู้ของ กทม.ทุกประเด็นแล้ว กทม.ก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ชำระหนี้ให้กับเอกชนเลย
และในทางปฏิบัติ เมื่อเอกชนดำเนินการตามสัญญาครบถ้วนแล้ว ก็ต้องชำระทันที ทุกช่วงเวลาตามสัญญา
การไม่ยอมจ่าย ทำให้ประชาชนสุ่มเสี่ยงจะเดือดร้อนหากเอกชนเดินรถต่อไม่ไหว เอกชนเสียหายรุนแรงโดยตรง เพราะต้องไปกู้ยืมเงินมาดำเนินการ
เข้าข่ายเจตนาดึงเช็ง หรือกลั่นแกล้งเอกชนหรือไม่?
ความจริง กทม.ต้องจ่ายเงินตามสัญญา มิใช่ต้องรอให้เอกชนเสียหาย ฟ้องศาล รอให้ศาลพิพากษาคดีถึงที่สุด ค่อยจะจ่ายเงิน พร้อมดอกเบี้ย !
6. ส่วนคดีที่ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดอดีตผู้ว่าฯ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ และพวก ล่าสุด อัยการสูงสุดได้ตั้งข้อไม่สมบูรณ์สำนวนคดี ได้ส่งเรื่องกลับให้ ป.ป.ช.เพื่อตั้งคณะทำงานร่วมฝ่ายอัยการ และ ป.ป.ช. เพื่อพิจารณาข้อไม่สมบูรณ์ในสำนวนคดีต่อไป คดีก็ยังไม่ได้ฟ้องศาลซึ่งกว่าจะถึงศาล กว่าจะมีพิพากษา แน่นอนว่าจะใช้เวลาอีกยาวนาน
จึงตอกย้ำว่า ในเมื่อกทม.อ้างเองว่า ไม่ต้องรอคดีนี้แล้วเหตุใด ไม่เร่งเข้าไปเจรจากับทางบีทีเอส เพื่อยุติการเพิ่มขึ้นของดอกเบี้ย?
อย่าลืมว่า… เคยมีกรณีอดีตนายก อบจ.สงขลาถูกศาลปราบโกงพิพากษาลงโทษจำคุก 9 ปี จากกรณีละเว้น ไม่จ่ายเงินค่ารถซ่อมบำรุงทางอเนกประสงค์ 2 คัน เป็นเงิน จำนวน 50,850,000 บาท แก่เอกชน
กรณีดังกล่าว นายก อบจ.สงขลาก็อ้างว่า มีปมฮั้วประมูล มีปมเอกชนทำเอกสารปลอม แต่สุดท้าย ศาลชี้ว่า ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ คุก 9 ปี
กรณีผู้ว่าฯชัชชาติ กำลังทำให้เอกชนเสียหายรายวัน และ กทม.ก็เสียหายรายวัน
เพราะดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นวันละ 7 ล้านบาท คือความเสียหายที่ทาง กทม.สามารถยุติได้ แต่เหตุใดผู้ว่าฯชัชชาติกลับไม่ดำเนินการ?
การไม่เร่งดำเนินการตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด และไม่ทำหน้าที่ผู้นำฝ่ายบริหาร เข้าไปเจรจากับคู่กรณีโดยเร็ว เพื่อยุติความเสียหาย อาจเข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ทำให้ กทม.และเอกชนเสียหาย หรือไม่?
สันติสุข มะโรงศรี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี