จากนี้ไป คงต้องให้โอกาสรัฐบาลแพทองธารได้ทำงานรับผิดชอบดูแลบริหารประเทศ
อะไรทำดี ก็ควรสนับสนุนส่งเสริม
อะไรทำบกพร่อง ก็ควรติดชม วิพากษ์วิจารณ์เสนอแนะ เพื่อรักษาประโยชน์ส่วนรวมของบ้านเมือง
อะไรทำผิด ก็จะต้องถูกตรวจสอบ ดำเนินคดีตามกฎหมาย อย่างตรงไปตรงมา
1. นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์หลังแถลงผลการประชุม ครม.นัดพิเศษ ยืนยันว่า เราจะทำงานแข่งกับเวลา… แน่นอนว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจจะต้องเกิดขึ้นทันที เพราะเป็นข้อแรกที่จะต้องเน้นย้ำและผลักดันต่อไป
“..รัฐบาลก็อยากทำงานให้ครบ 3 ปี เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องของการทำงาน
..นโยบายที่เคยปรึกษาพรรคร่วมรัฐบาลมาแล้วก็ค่อนข้างที่จะคล้ายเดิม และนโยบาย ครั้งนี้ก็มีการปรึกษากับพรรคร่วมเช่นกัน จะเป็นนโยบายที่ต่อเนื่องกับรัฐบาลนายเศรษฐา และเป็นความเห็นของคณะรัฐมนตรีทุกคนสามารถที่จะมีการปรับแก้ให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบัน...
..ที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีคดี พอมีคดีก็จะพยายามรับมือให้ได้ดีที่สุด
และจริงๆ แล้วไม่อยากมีคดี เพราะลูกยังเล็กอยู่...
...จะไม่ขอตอบเรื่องท่านทักษิณแล้ว เพราะเราต้องเดินไปข้างหน้า
วิสัยทัศน์ที่ดีไม่ว่าจะมาจากใครก็ตาม อายุเท่าไรก็ตามวิสัยทัศน์ที่ดีคือสิ่งที่ดี...”
สะท้อนว่า ตัวนายกฯ เอง ควรจะรู้ดีว่า ไม่มีช่วงฮันนีมูน และการขึ้นมาเป็นนายกฯครั้งนี้ จะต้องรับผิดชอบบ้านเมือง และต้องเจอกับอะไรบ้าง
2. งานใหญ่เฉพาะหน้าสำคัญที่สุดของรัฐบาลขณะนี้คือ แก้ปัญหาเศรษฐกิจ
โดยเฉพาะปัญหากำลังซื้อของประชาชนในเศรษฐกิจฐานราก
ผมเคยเสนอแนะไปแล้วว่า ไม่ควรรอนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตที่กว่าประชาชนจะได้รับเงินก็สิ้นปีโน่น (แถมมีเงื่อนไขยุบยับ)
เพราะฉะนั้น เมื่อรัฐบาลแสดงท่าทีชัดเจนว่า จะเติมเงินหมื่นให้ประชาชนกลุ่มเปราะบางทันที ภายในเดือนก.ย. ผมจึงเห็นด้วย และสนับสนุนอย่างยิ่ง
ขณะเดียวกัน นโยบายเศรษฐกิจภาพรวม ก็ควรเริ่มต้นจากสภาพความเป็นจริง สถานะการเงินการคลังของประเทศ ไม่สุดโต่ง ไม่เร่งโด๊ปยาประชานิยม หวังผลเฉพาะหน้าจนเกินควร เพราะอาจโอเวอร์โดส
แม้ประเทศจะได้คนรวยมาเป็นผู้นำรัฐบาล แต่ฐานะของประเทศไม่ได้รวยเหมือนผู้นำรัฐบาล ดังนั้น การบริหารประเทศจึงไม่สามารถคิดแบบคนรวย แต่ต้องคิดอ่านและแก้ปัญหาจากสภาพพื้นฐานความเป็นจริงซึ่งทรัพยากรมีจำกัด และทุกการเลือกมีค่าเสียโอกาส
ประการสำคัญ รัฐบาลต้องไม่สร้างประเด็นปัญหาความขัดแย้งการเมืองขึ้นมาเป็นเงื่อนไขสุมไฟความวุ่นวายขึ้นมาอีก ซ้ำเติมปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ
3. เงื่อนไขและความท้าทายที่รัฐบาลแพทองธารต้องเจอ
กว่ารัฐบาลแพทองธารจะเริ่มงานได้จริง กฎหมายงบประมาณปี’68 ก็อยู่ในชั้นวุฒิสภา
เรียกว่า ท้องแก่ ใกล้คลอดแล้ว
เพราะฉะนั้น เครื่องมือในการบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาลแพทองธาร ประกอบด้วย
3.1 งบประมาณปี’67 และงบเพิ่มเติมปี’67
งบปี’67 พร้อมใช้ได้ และกำลังจะสิ้นสุดปีงบประมาณภายในเดือน ก.ย.นี้เอง
ขณะนี้ งบเพิ่มเติมปี’67 จำนวน 1.22 แสนล้าน (สำหรับเติมเงินหมื่น) รอให้ใช้จ่ายอยู่เต็มจำนวน
รัฐบาลจะต้องเร่งเบิกจ่ายงบประมาณให้เร็วที่สุด
3.2 งบประมาณปี’68
ขณะนี้ งบปี’68 ยังไม่พร้อมใช้งาน แต่กำลังจะเสร็จเร็วๆนี้ (อยู่ในชั้นวุฒิสภา)
รัฐบาลแพทองธาร แม้ไม่ได้เป็นผู้จัดทำงบปี’68 แต่จะเป็นผู้ใช้จ่ายเต็มที่
ข้อจำกัด คือ รัฐบาลต้องดำเนินโครงการตามแผนการใช้จ่ายและโครงการในงบประมาณปี’68 เป็นหลัก
อย่างไรก็ตาม ในงบ’68 มีงบประมาณรายจ่ายงบกลาง วงเงิน 8.42 แสนล้านบาท
ส่วนหนึ่ง คือ รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ หรือ โครงการเติมเงินหมื่น วงเงิน 1.877 แสนล้านบาท
3.3 งบรัฐวิสาหกิจและแผนโครงการลงทุนต่างๆ ของรัฐวิสาหกิจ
ในส่วนนี้ รัฐบาลสามารถบริหารจัดการได้ตามระบบปกติ
รัฐวิสาหกิจบางแห่ง หากดำเนินการต่อเนื่องตามแผนที่มีอยู่เดิม ก็อาจสร้างรายได้เพิ่มเติมแก่รัฐบาล จะทำให้มีเงินมาใช้จ่ายได้เพิ่มเติม เช่น สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล มีแผนออกสลาก 3 หลัก ก็น่าจะสร้างรายได้เข้าแผ่นดินอีกปีละกว่า 4 พันล้านบาท เป็นต้น
3.4 โครงการรัฐและเอกชนร่วมลงทุน การดึงดูดและสนับสนุนการลงทุนของเอกชน การกระตุ้นการสร้างรายได้จากการส่งออกและการท่องเที่ยว ฯลฯ
โครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่ค้างคา อาทิ รถไฟความเร็วสูงสามสนามบิน กระทบต่อเนื่องถึงเมืองการบินตะวันออก, รถไฟความเร็วสูงไทย-จีน (สถานีอยุธยา), การลงทุนยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย, การปรับโครงสร้างพลังงาน ฯลฯ
ประการสำคัญ รัฐบาลแพทองธาร เริ่มงานไตรมาสสุดท้ายของปี 2567 นี่คือช่วงเวลาทองการท่องเที่ยวซึ่งเป็นเครื่องยนต์สำคัญในทางเศรษฐกิจของประเทศ จะมีแผนและการดำเนินการเพื่อให้ประเทศได้รับประโยชน์สูงสุดได้อย่างไร นี่คือความท้าทายอีกประการหนึ่ง
4. การดำเนินโครงการเติมเงินหมื่นฯ
ภายใต้ความมีจำกัดของเม็ดเงินในการพัฒนาบริหารประเทศ จึงต้องพิจารณาใช้จ่ายให้คุ้มค่าที่สุด
รัฐบาลแพทองธารและพรรคร่วม จะต้องพิจารณาว่า โครงการเติมเงินหมื่นฯ จำนวน 45 ล้านคน วงเงิน 4.5 แสนล้านบาทนั้น จะเดินหน้าต่อในรูปแบบไหน? จะปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องเหมาะสมกับสถานการณ์เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศชาติอย่างไร?
ความจริง... ขณะนี้ มีแหล่งเงินที่ชัดเจนแล้ว จำนวน 333,700 ล้านบาท ประกอบด้วย
วงเงิน 1.22 แสนล้านบาท จาก พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ 2567
วงเงิน 2.3 หมื่นล้านบาท จากงบกลาง งบปี 2567
และวงเงิน 1.877 แสนล้านบาท จากงบกลางในร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2568 (อยู่ในชั้นวุฒิสภา)
เพราะฉะนั้น โครงการเติมเงินหมิ่นฯ ยังขาดเงินอยู่อีกราวๆ 1.173 แสนล้านบาท
ถ้าจะเดินหน้าต่อ ตามขนาดโครงการเดิม 4.5 แสนล้านบาท จะเอาเงินจากแหล่งใดมาใช้ในโครงการนี้?
จะต้องปรับลดเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณในงบปี’68 รายการไหน? กระทบโครงการใด? คุ้มค่าหรือไม่? พรรคร่วมรัฐบาลจะเห็นด้วยหรือไม่?
จะเอามาจากส่วนไหนอีก 1.173 แสนล้านบาท?อย่าลืมว่า ในงบ’68 งบกลางที่ได้วงเงิน 1.877 แสนล้านบาท สำหรับโครงการเติมเงินหมื่นนั้น ก็มาจากการไปปรับลดเงินที่จะชำระคืนหนี้ธนาคารรัฐ 5 แห่ง จำนวน 35,000 ล้านบาท ประกอบด้วย ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย จำนวน 330 ล้านบาท, ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร จำนวน 31,322 ล้านบาท, ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย จำนวน 72 ล้านบาท, ธนาคารออมสิน จำนวน 2,682 ล้านบาท, ธนาคารอาคารสงเคราะห์ จำนวน 592 ล้านบาท
จะมีงบส่วนไหนที่สามารถปรับลดเปลี่ยนแปลงได้อีก?
ล่าสุด รัฐบาลจะเดินหน้าเติมเงินหมื่นบาท แก่กลุ่มผู้ถือสิทธิในโครงการสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวนราว 15 ล้านคนก่อน (ไม่ต้องรอระบบดิจิทัล วอลเล็ต) หลังจากนั้น จะเดินหน้าต่อแค่ไหน อย่างไร? คงต้องติดตามความชัดเจนหลังแถลงนโยบายต่อรัฐสภา
ขณะเดียวกัน จะต้องจัดสรรงบไปยังโครงการต่างๆ ที่พรรคร่วมผลักดันด้วย หรือไม่?
5.โครงการเติมเงินหมื่นฯ ถ้าจะเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ตในระยะถัดไป ยังต้องพิจารณาว่า ระบบการเติมเงินและการชำระเงินดิจิทัล วอลเล็ต ที่กำลังทำอยู่นั้นมีความมั่นคงปลอดภัย มีความเสถียร ผ่านมาตรฐานการกำกับควบคุมดูแลการชำระเงินของแบงก์ชาติ จะทันตามกำหนดจ่ายเงินหรือไม่?
ผู้ว่าการ ธปท. เคยชี้ถึงประเด็นความพร้อมของระบบเติมเงิน?
ระบุว่า จะต้องมีความมั่นคงปลอดภัย (confidentiality & security) ความถูกต้องน่าเชื่อถือ (integrity)
ความมีเสถียรภาพพร้อมใช้งานได้ต่อเนื่อง (availability) การบริหารจัดการด้าน IT Governance ตามมาตรฐานสากล
นอกจากนี้ การเชื่อมต่อ payment platformกับ mobile application จะกระทบลูกค้าและการให้บริการเป็นวงกว้าง ธปท.จะสอบทานผลการประเมินและผลทดสอบความเสี่ยงด้านต่างๆ โดยเฉพาะกรณีที่ open Loop อาจกระทบต่อเสถียรภาพของระบบการชำระเงินโดยรวม
ถ้าไม่ทัน จะปรับแผนการอย่างไร? ควรปรับแผนการรองรับไว้หรือไม่ อย่างไร?
6. ประการสำคัญ ความคุ้มค่ากับเม็ดเงินที่ใช้ไปกับโครงการนี้ จะเป็นอย่างไร?
หากพรรคการเมืองคุ้มค่า? แล้วประเทศชาติคุ้มค่า หรือเสียโอกาสอย่างไร?
ยังไม่พูดถึงความเสี่ยงด้านข้อกฎหมายและความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เมื่อมีการฟ้องร้องต่อองค์กรตรวจสอบที่เกี่ยวข้อง
ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เคยทำหนังสือถึงสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ลงวันที่ 22 เมษายน 2567 เพื่อเสนอเป็นความเห็นประกอบการพิจารณาในครม. สมควรนำมาพิจารณาประกอบการทบทวนอีกครั้ง หรือไม่?
พึงตระหนักว่า การใช้อำนาจหน้าที่บริหารประเทศ มาพร้อมความรับผิดชอบใหญ่หลวง
รัฐบาลอุ๊งอิ๊งค์ จะบริหารแบบมุ้งมิ้งไม่ได้
สันติสุข มะโรงศรี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี