เรื่องของ“นักร้อง”ที่เห็นว่าร้องกันเปรอะอยู่ในเวลานี้ ก็แล้วแต่ว่าอยู่ที่มุมมองของใคร แต่สำหรับประชาชนต้องถือว่าเป็นเรื่องดีมีคุณประโยชน์ เพราะเวลานี้การตรวจสอบรัฐบาลที่เป็นฝ่ายบริหาร ไม่สามารถพึ่งพาฝ่ายค้านได้
ฝ่ายค้านอย่างพรรคประชาชนอ่อนปวกเปียก เหมือนเด็กน้อยที่กำลังสนใจและเพลิดเพลินอยู่กับของเล่นที่ตนพึงพอใจ โดยหมกมุ่นอยู่กับปัญหาของตนที่คิดว่าเป็นปัญหาของประชาชนส่วนใหญ่ อาทิ เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือการแก้ไขมาตรา 112 เป็นต้น
รัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ฉบับที่ใช้ในปัจจุบัน ผ่านประชามติเห็นชอบของประชาชนเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2559 ถึง 16.82 ต่อ 10.59 ล้านเสียง คิดเป็น 61.35 ต่อ 38.65 เปอร์เซ็นต์ของผู้ออกมาใช้สิทธิ์ทั้งหมด 29.74 ล้านคน
และประชาชนที่เห็นชอบกับรัฐธรรมนูญปี 2560 ต่างก็เห็นว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นคุณกับประชาชนที่นักการเมืองชอบนำชื่อไปกล่าวอ้าง เนื่องจากเป็นรัฐธรรมนูญฉบับ“ปราบโกงนักการเมือง” ทำให้นักการเมืองและ สส.จากพรรคการเมืองต่างๆ ประเภท“วัวสันหลังวะ”กลัวนักกลัวหนา จึงต้องการที่จะฉีกทิ้งและยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้นมาเพื่อให้เป็นคุณแก่ตนเอง
เพราะฉะนั้น การแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือการยกร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่จึงมิใช่ปัญหาเร่งด่วนหรือปัญหาเฉพาะหน้าของประชาชน แต่เป็นปัญหาของนักการเมืองและพรรคการเมือง ที่ต้องการจะเข้าไปปู่ยี่ปู้ยำ หรือทุจริตโกงกินกันได้อย่างสะดวกง่ายดาย โดยที่ไม่ต้องคอยระมัดระวังว่ามีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญเป็นอุปสรรคขวางกั้นอยู่
จะเห็นว่าหนึ่งปีจากการบริหารราชการแผ่นดินของ“รัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน” ฝ่ายค้านโดยพรรคก้าวไกลซึ่งก็คือพรรคประชาชนในทุกวันนี้ ไม่ได้ทำหน้าที่ให้สมกับบทบาทในฐานะฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรที่เป็นฝ่ายนิติบัญญัติ และจะต้องคอยตรวสอบและควบคุมรัฐบาลที่เป็นฝ่ายบริหาร ภาพที่ปรากฏจึงดูเหมือนกับว่า“สู้ไปรอเสียบไป” เพื่อจะเข้าไปเป็นรัฐบาลผสมกับพรรคเพื่อไทย
มาถึงวันนี้ในยุคของรัฐบาล“อุ๊งอิ๊งค์ 1”ที่มีนางสาวแพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ก็เช่นเดียวกัน จะเห็นว่าบทบาทการตรวจสอบรัฐบาลกลับกลายเป็นหน้าที่ของ“นักร้อง”คณะต่างๆ จากภาคประชาชน ที่มีการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง
สส.ของพรรคประชาชนในฐานะฝ่ายค้าน นั่งดูอดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร เข้าไปครอบงำพรรคเพื่อไทย ครอบงำพรรคร่วมรัฐบาล จากการเรียกผู้นำพรรคการเมืองทั้งหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรคไปประชุมหารือเรื่องการเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีคนใหม่แทนนายเศรษฐา ทวีสิน ที่บ้าน“จันทร์ส่องหล้า”ซึ่งเป็นสถานที่ใช้ควบคุมนักโทษเหมือนกับ“เรือนจำชั่วคราว”ในวันที่ 14 สิงหาคม 2567 โดยที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาว
ทั้งที่การกระทำของอดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร เข้าข่ายละเมิดพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 28 และมาตรา 29 ที่ห้าม“คนนอก”เข้าไปควบคุม, ครอบงำ หรือชี้นำพรรคการเมือง ในลักษณะที่ทำให้พรรคการเมืองไม่เป็นอิสระ ทั้งทางตรงและทางอ้อม
อดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งระหว่างนั้นยังมีสถานภาพเป็นนักโทษที่อยู่ระหว่างการพักโทษใน“บ้านจันทร์ส่องหล้า” มิได้เป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย และสมาชิกพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลอีก 3 พรรค คือ พรรคภูมิใจไทย, พรรครวมไทยสร้างชาติ และพรรคชาติไทยพัฒนา แต่เป็นคนนอกและเป็นนักโทษที่อยู่ระหว่างการพักโทษ กลับแสดงอำนาจเรียกผู้นำพรรคการเมืองดังกล่าวนั้นเข้าไปประชุมหารือในสถานที่กักกัน หรือ“เรือนจำชั่วคราว” โดยมิได้ยำเกรงต่อกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองที่มีบทบัญญัติห้ามไว้
กรณีนี้หากไม่ใช่“นักร้อง”ที่เป็นบุคคลนิรนามไปยื่นคำร้องต่อ กกต.เพื่อเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคเพื่อไทย และพรรคร่วมรัฐบาลทั้ง 3 พรรค คือพรรคภูมิใจไทย, พรรครวมไทยสร้างชาติ และพรรคชาติไทยพัฒนา ที่บรรดาแกนนำของพรรคการเมืองเหล่านี้เข้าไปประชุมหารือกับอดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ในวันนั้น ทุกอย่างก็จะผ่านเลยกลายเป็นอากาศธาตุ และเมื่อวันที่ 9 กันยายนที่ผ่านมา นายนพรุจ วรชิตวุฒิกุล อดีตแกนนำ“กลุ่มพิราบชาว 2006”ก็ได้ไปยื่นเรื่องต่อ กกต.ซ้ำเป็นรายที่สองต่อจาก“นักร้องนิรนาม” และเพิ่มพรรคประชาชาติ และพรรคพลังประชารัฐ รวมเข้าไปด้วยอีกสองพรรค
โดยนายนพรุจ วรชิตวุฒิกุล อดีตแกนนำมวลชนคนเสื้อแดง ระบุว่า การที่นายทักษิณ ชินวัตร เรียกแกนนำรักษาการรัฐบาลในช่วงที่นายเศรษฐา ทวีสิน พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เข้าไปพูดคุยเรื่องการจัดตั้งรัฐบาล และผลักดันนายชัยเกษม นิติสิริ เป็นว่าที่นายกรัฐมนตรีคนที่ 31 แม้ว่านายทักษิณจะเป็นบิดาของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยที่อยู่ระหว่างไปศึกษาดูงานที่ประเทศจีนระหว่างวันที่ 13-15 สิงหาคม 2567 แต่การกระทำดังกล่าวก็เข้าข่ายขัดพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 28 ที่ห้ามมิให้พรรคการเมืองยินยอมให้บุคคลภายนอกเข้ามา“ควบคุม-ครอบงำ-สั่งการ”
ณ เวลานี้ ก็เห็นมีแต่“นักร้อง”จากคณะต่างๆ เหล่านั้น ที่พอจะเป็นที่พึ่งพาของประชาชนได้ และเสียงร้องของนักร้องที่ส่วนใหญ่เป็น“ศิลปินเดี่ยว” ไม่ได้สังกัดค่ายเดียวกันนั้น ถ้าจะว่าไปแล้วก็ไม่ได้เป็นที่รำคาญหูหรือหนวกหูประชาชนแต่อย่างใด
จะมีก็แต่นักการเมืองและพรรคการเมืองประเภท“วัวสันหลังหวะ”เท่านั้น ที่รู้สึกตรงกันข้ามกับประชาชน และที่สำคัญภายใต้การบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ ซึ่งไม่เป็นที่น่าไว้วางใจในหลายเรื่องๆ เกี่ยวกับนโยบายที่ส่อไปในทางที่จะทำให้ชาติบ้านเมืองเดินไปสู่หายนะบนความร่ำรวยของนักการเมืองโกงชาติโกงแผ่นดินจากผลประโยชน์ทับซ้อน
ไม่ว่าจะเรื่อง“ดิจิทัล วอลเล็ต”ที่กลับไปกลับมาและเป็นการล้างผลาญงบประมาณแผ่นดิน, เรื่องให้ต่างชาติเช่าที่ดิน 99 ปี, เรื่อง“เอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์” และที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่งคือเรื่องผลประโยชน์เกี่ยวกับ“ขุมทรัพย์ทางทะเล”มูลค่า 20 ล้านล้านบาทที่บริเวณเกาะกูด จังหวัดตราด ซึ่งเรามิอาจไว้วางใจคนอย่างอดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ที่มีความสนิทชิดเชื้อกับ“ฮุนเซ็น”ผู้ทรงอำนาจแห่งเขมร ว่าจะไปแอบตกลงอะไรกันไว้บ้าง
ดังนั้น “นักร้อง”จึงมีประโยชน์แก่ประชาชนคนไทย ในยามที่บ้านเมืองไม่สามารถพึ่งพา สส.ฝ่ายค้านได้ แม้ว่าบางเรื่องที่ร้อง เช่นที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ร้อง ป.ป.ช. ให้ตรวจสอบ“มาดามแพ-แพทองธาร ชินวัตร” ว่ามีพฤติการณ์ฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมหรือไม่ กรณีชักชวนให้คณะรัฐมนตรีถ่ายรูปในท่า“มินิฮาร์ท”ขณะกำลังสวมเครื่องแบบชุดปกติขาว บริเวณสนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งบางคนอาจจะเห็นว่าเป็นเรื่องเล็กเป็นเรื่องหยุมหยิม แต่ก็ถือว่าเป็นสิทธิของนายเรืองไกร ส่วนจะผิดหรือถูกก็ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาลฎีกาที่จะพิพากษาตัดสินในขั้นสุดท้าย
และก็ไม่แน่ว่าบางเรื่องที่ดูเหมือนว่าจะเล็กเป็นเรื่องหยุมหยิม อาจจะกลายเป็นเรื่องคอขาดบาดตายขึ้นมาก็ได้ ฉันใดก็ฉันนั้น“กิ้งกือ”ยังเดินตกท่อได้ !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี