ประเทศไทยบ้านเมืองของเรานั้น อะไรก็ดีหมด ที่ไม่ดีอย่างเดียวคือเรายังไม่ได้นักการเมืองดีๆ ที่มาจากการเลือกตั้งขึ้นมาบริหารประเทศ ส่วนใหญ่เข้ามาแล้วก็คิดแต่ประโยชน์ของตนและโคตรเหง้าวงศ์ตระกูล ตลอดจนพวกพ้องที่เป็นวงศ์วานว่านเครือกันทั้งนั้น
ในหลวงรัชกาลที่ 9 พ่อของแผ่นดิน จึงทรงให้ข้อคิดไว้ ดังพระบรมราโชวาทตอนหนึ่งในพิธีเปิดงานชุมนุมลูกเสือแห่งชาติ จังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2512 ว่า
"ในบ้านเมืองนั้นมีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครจะทำให้คนทุกคน เป็นคนดีได้ทั้งหมด การทำให้บ้านเมืองมีความปกติสุขเรียบร้อย จึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมคนดี ให้คนดีได้ปกครองบ้านเมือง และควบคุมคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้"
และอีกหนึ่งข้อคิดจากพระบรมราโชวาทที่ทรงพระราชทานแก่คณะรัฐมนตรีที่เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณ ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2529 ความว่า "รัฐบาลนั้น เป็นสถาบันหนึ่งในสถาบันสำคัญของประเทศ จึงต้องปฏิบัติหน้าที่ โดยถือว่าชาติบ้านเมืองเป็นเป้าหมายสำคัญ และความอยู่ดีกินดีของประชาชนเป็นสิ่งที่ปรารถนา ด้วยการปฏิบัติหน้าที่ ด้วยความตั้งใจจริง ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และขยันหมั่นเพียร"
น้ำท่วมในภาคเหนือในช่วงนี้ซึ่งหนักหนาสาหัสที่สุดก็คืออำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย จะเห็นได้ว่ากำลังหลักคือ“ทหารของพระราชา”กับหน่วยงานของทางราชการ ตลอดจนอาสาสมัคร มูลินิธิต่างๆ ของภาคเอกชน และรวมทั้งศิลปินดารานักร้อง, ผู้นำองค์กร, บุคคลสาธารณะผู้มีชื่อเสียง และประชาชนทุกหมู่เหล่าทั้งประเทศ ได้ร่วมแรงร่วมใจ ทั้งนอกจากจะบริจาคเงินทองข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นเพื่อบรรเทาทุกข์ให้แก่ผู้ประสบภัยแล้ว ก็มีจำนวนไม่น้อยที่ลงไปช่วยถึงพื้นที่ด้วยตนเอง
เรียกได้ว่า ใครมีแรงช่วยแรง ใครมีเงินช่วยเงิน รวมทั้งสายธารน้ำใจจากทั่วทุกสารทิศที่ส่งผ่านเป็นกำลังใจให้แก่ผู้ประสบภัยทุกคน เป็นความงดงามของคนไทยที่แต่แม้ชาวต่างชาติยังทึ่งและชื่นชมสดุดี
ความเสียหายและความทุกข์ระทมของประชาชนคนไทยในพื้นที่ที่เกิดอุทกภัยคราวนี้นั้น จากข้อมูลของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย สังกัดกระทรวงมหาดไทย บันทึกไว้ว่า ระหว่างวันที่ 16 สิงหาคม-14 กันยายน 2567 มีสถานการณ์น้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากในพื้นที่ 28 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย, เชียงใหม่, แม่ฮ่องสอน, ตาก, พะเยา, น่าน, ลำพูน, ลำปาง, แพร่, อุตรดิตถ์, สุโขทัย, พิษณุโลก, นครสวรรค์, เพชรบูรณ์, เลย, อุดรธานี, หนองคาย, หนองบัวลำภู, ปราจีนบุรี, อ่างทอง, พระนครศรีอยุธยา, ระยอง, ภูเก็ต, ยะลา, นครศรีธรรมราช, พังงา, ตรัง และสตูล
เป็นเหตุให้ส่งผลกระทบต่อประชาชนรวมทั้งหมด 132,615 ครัวเรือน ใน 129 อำเภอ 590 ตำบล 3,134 หมู่บ้าน โดยมีผู้เสียชีวิตจากอุทกภัยและดินถล่ม รวม 34 ราย และได้รับบาดเจ็บ 24 ราย
ล่าสุด ณ เวลานี้ แม้ว่าระดับน้ำจะลดลง แต่ยังมีประชาชนคนไทยจำนวน 60,050 ครัวเรือน ที่ยังต้องเผชิญกับภัยน้ำท่วมอยู่อีกใน 10 จังหวัด รวม 33 อำเภอ 160 ตำบล 733 หมู่บ้าน ซึ่งที่จังหวัดเชียงรายนั้นยังหนักที่สุดใน 6 อำเภอ คือ แม่สาย, แม่ฟ้าหลวง, แม่จัน, เชียงแสน, เชียงของ และอำเภอเมือง รวมทั้งหมด 24 ตำบล 123 หมู่บ้าน มีประชาชนได้รับผลกระทบ 45,329 ครัวเรือน มีผู้เสียชีวิต 4 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 2 คน
ที่น่าเป็นห่วงก็คือสัปดาห์นี้ จะมีร่องมรสุมเลื่อนลงมาพาดผ่านภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลางตอนบน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณชายฝั่งประเทศเวียดนามตอนกลาง
โดยเฉพาะทางภาคอีสานในจังหวัดที่ติดกับแม่น้ำโขงซึ่งระดับน้ำยังล้นตลิ่ง คือที่จังหวัดหนองคาย และจังหวัดเลย ณ เวลานี้ก็อยู่ในสภาพที่หนักหนาสาหัสอยู่แล้ว ที่จังหวัดหนองคายนั้นมี 5 อำเภอ ได้แก่อำเภอเมือง, อำเภอสังคม, อำเภอศรีเชียงใหม่, อำเภอท่าบ่อ และอำเภอรัตนวาปี ส่วนที่จังหวัดเลยมี 2 อำเภอ คือที่อำเภอเชียงคาน กับอำเภอปากชม หากฝนตกลงมาก็ยิ่งทุกข์หนักทวีขึ้นไปอีก
ทั้งหมดนั้นเป็นภาพกว้าง และถือว่าเพิ่งจะเริ่มต้น ก่อนหน้านี้ตอนเกิดปัญหาน้ำท่วมที่จังหวัดเชียงราย, พะเยา, แพร่, น่าน และสุโขทัย ซึ่ง“มาดามแพ-แพทองธาร ชินวัตร”ไปผัดข้าวผัดโดยไม่ที่เตาไม่ได้จุดไฟจนทำให้คนทั้งประเทศจับได้ว่า ก็แค่ออกงานอีเว้นท์“สร้างภาพ”เพื่อหาคะแนนนิยม นั้น รัฐบาลโดยนายภูมิธรรม เวชยชัย ที่ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี ได้ให้สัมภาษณ์สื่อด้วยความประมาทว่า เหตุการณ์น้ำท่วมในปีนี้จะไม่เกิดเหมือนกับมหาอุทกภัยในปี 2554 สมัยรัฐบาล“ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”ที่บอกว่า“เอาอยู่” แต่ผลสุดท้ายอ่วมอรทัย สาหัสสากรรจ์กันทั่วทั้งประเทศ โดยเฉพาะในกรุงเทพฯและปริมณฑล รวมทั้งจังหวัดพระครศรีอยุธยา
มูลค่าเสียหายจากมหาอุทกภัยสมัยรัฐบาล“เอาอยู่”ของ“ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”ครั้งนั้น คิดเป็นเม็ดเงินตัวเลขกลมๆ มีมูลค่าถึง 1.44 ล้านล้านบาท ประชาชนได้รับผลกระทบมากกกว่า 12.8 ล้านคน
ฉะนั้น นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลอย่าทำเป็นเล่น แบบวาทกรรมที่นายภูมิธรรม เวชยชัย ชอบพูดว่า“อย่าใช้จินตาการ” คืออย่ามองปัญหาแบบคิดเองเออเอง เนื่องจากถ้าเปรียบเป็นภาพยนตร์ ถือว่าหนังเพิ่งแค่เริ่มฉายเท่านั้น หลังจากฉากแรกในภาคเหนือแล้ว ต่อไปก็ภาคกลางตอนบนลงมาถึงกรุงเทพฯและปริมณฑล
ต้องจับตาในช่วงเดือนตุลาคมและพฤศจิกายน ถ้านายกรัฐมนตรีที่ชื่อ“แพทองธาร ชินวัตร”ยังหน่อมแน้มเหมือน“เด็กฝึกงาน”ที่ยังไม่พ้นโปรกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยต้องมีพี่เลี้ยงอย่างนายภูมิธรรม เวชยชัย คอยเดินตามก้นประกบทุกฝีก้าวแล้ว เห็นทีว่าประเทศไทยและประชาชนคนไทยคงต้องสะอื้นน้ำตาตกในแน่
สำคัญที่สุดก็คือ เงินงบประมาณจะเอามาจากไหนถ้าเกิดวิกฤตเหมือนมหาอุทกภัยในปี 2554 ซึ่งในช่วงวันที่ 25-28 กันยายนนี้ ก็จะเริ่มถลุงเหมือนเป็นการแจก“เงินตกเขียว”ที่พรรคเพื่อไทยหาเสียงไว้ในช่วงเลือกตั้งจำนวน 1.42 แสนล้านบาท โดยแจกเฟสแรกตามโครงการ“ดิจิทัลวอลเล็ต”ให้แก่กลุ่มเปราะบางจำนวน 14.5 ล้านคน และเงินก้อนโตจำนวนนี้เป็นเงินที่คนไทยทุกคนจะต้องแบกรับภาระ ไม่ใช่เงินของพรรคเพื่อไทย หรือเงินของ“ตระกูลชินวัตร”ที่นำไปแจกตามสัญญาที่ได้“ตกเขียว”เอาไว้ตอนหาเสียง
เงินทุกบาททุกสตางค์นั้นมีค่า แค่แม่สายอำเภอเดียวหากนำเงิน 1.42 แสนล้านบาทก้อนนี้ไปฟื้นฟูสิ่งสาธารณูปโภค ไม่ว่าจะเป็นถนนหนทาง, สะพาน และท่อระบายน้ำ ตลอดจนอาคารบ้านเรือน-ร้านค้า ที่น้ำได้พัดพาขยะดินโคลนและตะกอนทิ้งไว้เป็นจำนวนมาก โดยที่ต้องฟื้นคืนสภาพให้กลับมาได้ดังเดิม เงินจำนวนที่ว่านี้ก็ไม่เพียงพอแน่นอน โดยเฉพาะเงินเยียวยาชาวบ้านที่จะทำให้กลับมาดำรงชีวิตได้อย่างเป็นปกติ ซึ่งน่าเป็นห่วงก็คือผู้ประกอบการร้านค้ารายใหญ่รายน้อยที่สินค้าข้าวของสูญสิ้นไปกับสายน้ำและดินโคลน อันจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจระดับชาติ ที่จะต้องมีการกระตุ้นหลังจากนี้ เพราะอำเภอแม่สายเป็นเมืองค้าขายที่เป็นประตูเปิดไปสู่ประเทศเมียนมา
ขอฝากเป็นการบ้านให้แก่“มาดามแพ”คุณหนูผู้ไร้ปัญญาและอ่อนด้อยประสบการณ์ให้ตระหนักรู้ ดังพระราชดำรัสของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่พระราชทานแก่ประชาชนชาวไทยในโอกาสขึ้นปีใหม่ 2533 ความตอนหนึ่งว่า
“การแก้ปัญหานั้น ถ้าไม่ทำให้ถูกเหตุ ถูกทาง ด้วยความรอบคอบระมัดระวัง มักจะกลายเป็นการเพิ่มปัญหาให้มากและยุ่งยากขึ้น แต่ละฝ่ายจึงควรจะตั้งใจ พยายามทำความคิดความเห็นให้กระจ่าง และเที่ยงตรง เพื่อจักได้สามารถเข้าใจปัญหา และเข้าใจกันและกันอย่างถูกต้อง"
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี