สายลมแห่งการเปลี่ยนแปลงของพรรคประชาชนหรือพรรคก้าวไกล..ดูเหมือนว่าจะได้พัดผ่านไปแล้วจากการเลือกตั้งซ่อม สส.เขต 1 จังหวัดพิษณุโลก..เมื่อวันอาทิตย์ 15 กันยายนที่ผ่านมา..ซึ่งนายณฐชนน ชนะบูรณาศักดิ์ ผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคประชาชน พ่ายแพ้แก่นายนายจเด็ศ จันทรา ผู้สมัครของพรรคเพื่อไทย
ถ้าเป็นภาษาของ“ไหม-ศิริกัญญา ตันสกุล” แกนนำของพรรคประชาชนก็ต้องบอกว่า..ความแรงของพรรคประชาชนที่เชื่อกันว่า“ยิ่งทุบยิ่งโต”..ไม่เป็นจริงกับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นสองครั้งหลังจากพรรคก้าวไกลถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2567..จากพายุหมุนก็ได้กลายเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำไปแล้วจริงๆ
การเลือกตั้งนายก อบจ.ที่จังหวัดราชบุรีเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2567 สองสัปดาห์ที่ผ่านมา..ซึ่งนายชัยรัตน์ ศักดิ์อิสระพงศ์” หรือ “หวุน” ผู้สมัครจากพรรคประชาชน..พ่ายแพ้ให้แก่“กำนันตุ้ย-วิวัฒน์ นิติกาญจนา” อดีตนายก อบจ. ซึ่งเป็นบ้านใหญ่แห่งจังหวัดราชบุรี..และเป็นสามีของนางบุญยิ่ง นิติกาญจนา สส.เขต 2 พรรคพลังประชารัฐ..ด้วยคะแนนเสียง 242,297 : 175,353 คะแนน..อาจจะยังชี้ชัดไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น..เพราะเป็นสนามท้องถิ่น
แต่การเลือกตั้ง ซ่อม สส.เขต 1 จังหวัดพิษณุโลกเมื่อวันอาทิตย์ที่ 15 กันยายนที่ผ่านมา..เป็นสนามใหญ่ที่เป็นสนามระดับชาติ..โดยนายเจด็ศ จันทรา หรือ“บู้” ผู้สมัครของพรรคเพื่อไทย..ซึ่งเป็น สส.สอบตกเขต 3 จังหวัดพิษณุโลก ของพรรคเพื่อไทยจากการเลือกตั้งครั้งล่าสุดเมื่อปีที่แล้ว..ชนะนายณฐชนน ชนะบูรณาศักดิ์” หรือ “โฟล์ค” ผู้สมัครพรรคประชาชน ซึ่งเป็นอดีตผู้ช่วย สส.ของนายปติพัทธ์ สันติภาดา..ด้วยคะแนนเสียงอย่างไม่เป็นทางการ 37,209 : 30,640 คะแนน
นายณฐชนน ชนะบูรณาศักดิ์ แพ้นายเจด็ศ จันทรา ด้วยคะแนนหลักพัน..แม้จะเป็นตัวเลขที่ไม่ทิ้งขาด..ยังถือว่าสูสี..แต่ก็ถือว่าแพ้..และแพ้อย่างชนิดที่ว่าเสียท่าด้วย..เนื่องจากพื้นที่นี้เป็นพื้นที่เดิมของนายปดิพัทธ์ สันติภาดา อดีต สส.2 สมัย..ที่ครองพื้นที่นี้มาตั้งแต่ลงสมัคร สส.ในนามพรรคอนาคตใหม่ในปี 2562 และในนามพรรคก้าวไกลครั้งล่าสุดในปี 2566
หากดูสถิติย้อนหลังจากการเลือกตั้ง สส.เขต 1 จังหวัดพิษณุโลก เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566..ซึ่ง“หมออ๋อง”หรือนายปติพัทธ์ สันติภาดา ผู้สมัครจากพรรคก้าวไกลมีชัยชนะเหนือคู่ต่อสู้นั้น..นายปติพัทธ์ ได้คะแนนมาเป็นอันดับหนึ่ง 40,842 คะแนน..คิดเป็น 41.35 เปอร์เซ็นต์ของผู้ออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งทั้งหมด 139,465 คน..โดยเอาชนะคู่แข่งที่เข้ามาเป็นลำดับสองและลำดับสามแบบขาดลอย
ทั้งนี้ ลำดับสอง-นายอดุลวิทย์ วิวัฒน์ธนาฒย์ จากพรรคพลังประชารัฐได้ 19,096 คะแนน คิดเป็น 19.33 เปอร์เซ็นต์ของผู้ออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้ง..และลำดับสาม-นายณัฐทรัชต์ ชามพูนท จากพรรคเพื่อไทย..ได้ 18,180 คะแนน คิดเป็น 18.40 เปอร์เซ็นต์ของผู้ออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้ง
ถ้าหากพรรคก้าวไกลยิ่งทุบยิ่งโตหลังจากถูกยุบพรรคและอวตารมาเป็นพรรคประชาชน..การเลือกตั้งซ่อม สส.เขต 1 จังหวัดพิษณุโลกครั้งนี้ก็ควรจะต้องเป็นฝ่ายชนะ..เพราะถือว่า“เหล็กยังร้อน”กระแสแห่งความร้อนแรง..หรือสายลมแห่งการเปลี่ยนแปลงดังวาทกรรมที่นักการเมืองของ“พรรคส้ม”พรรคนี้ชอบใช้..ก็ย่อมต้องมีคุณูปการเป็นพายุหมุนให้ชนะการเลือกตั้งครั้งนี้ได้
ดังนั้นก็ย่อมแสดงให้เห็นและพูดได้ว่า..ความนิยมของพรรคประชาชนหรือพรรคก้าวไกลแผ่วลง..ไม่เปรี้ยงปร้างเหมือนเมื่อครั้งที่“พ่อฟ้า-ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” เป็นหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่..และ“แด๊ดดี้-พิธา ลิ้มเจริญรัตน์”เป็นหัวหน้าพรรคก้าวไกล..อันเป็นอารมณ์วูบวาบของคนหนุ่มคนสาวรุ่นใหม่ที่แห่ไปตามกระแส..เฉกเช่นการคลั่งไคล้ศิลปินดารานักร้องของเกาหลี..โดยที่มิได้มีจิตสำนึกทางการเมืองอย่างแท้จริง
ประการที่สำคัญ..พื้นที่ สส.เขต 1 จังหวัดพิษณุโลกนั้น..เป็นพื้นที่ที่นายปดิพัทธ์ สันติภาดา ยึดครองมาแล้วถึง 2 สมัย..ถามว่าคะแนนที่นายปดิพัทธ์เคยได้หายไปไหนหมด
หากยึดตัวเลขจากการเลือกตั้งในวันที่ 24 มีนาคม 2562 จากการที่นายปดิพัทธ์ สันติภาดา ในนามพรรคก้าวไกลเอาชนะคู่ต่อสู้มาได้ด้วยคะแนน 35,412 คะแนน..โดยทิ้งห่างนายเศรษฐา กิตติจารุรักษ์ ผู้สมัครพรรคพลังประชารัฐที่ได้ 23,609 คะแนน..และนพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี อดีตเจ้าของพื้นที่เดิมเมื่อครั้งเป็น สส.ของพรรคประชาธิปัตย์ ที่ได้ 18,516 คะแนน
ปรากฏว่า เมื่อนำตัวเลขจาการเลือกตั้งในปี 2562 ดังกล่าวมาหักลบกับการเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้..ที่นายณฐชนน ชนะบูรณาศักดิ์ ได้ 30,640 คะแนน..เท่ากับว่าคะแนนหายไปกว่า 5 พันคะแนน..และเมื่อเทียบกับปี 2566 ที่นายปดิพัทธ์ สันติภาดา เคยได้ 40,842 คะแนน..ก็ปรากฏว่า ตัวเลขหายไป 1 หมื่นกว่าคะแนน
แต่ถ้าหากดูภาพรวมทั้งหมดก็จะเห็นชัดยิ่งขึ้นไปอีกว่า..กระแสความนิยมของ“พรรคส้ม”ลดลง..เนื่องจากการเลือกตั้งครั้งนี้จากจำนวนผู้ออกมาใช้สิทธิ์ 54.95 เปอร์เซ็นต์..ปรากฎว่ามีผู้หย่อนบัตรไม่ประสงค์ลงคะแนนถึง 7,216 ใบ..ซึ่งถ้าประเมินว่าจำนวนนี้เป็นฐานคะแนนของพรรคประชาชน..ก็เท่ากับว่าพรรคประชาชนถูกมวลชนสีส้มหันหลังให้
ในอีกทางหนึ่งถ้าหากฟังจาก นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีต สส.เขต 1 จังหวัดพิษณุโลก ซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่เดิม..วิเคราะห์ก็จะพบว่า..ในการเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้..ประชาชนกว่า 7 พันคน..ไม่เอาทั้งฝ่ายรัฐบาลคือพรรคเพื่อไทยที่ชนะการเลือกตั้ง..และฝ่ายค้านคือพรรคประชาชนที่แพ้การเลือกตั้ง
บรรทัดสุดท้ายนี้ต้องถามพรรคประชาชนว่า“ยักไหล่แล้วยังไงต่อ” !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี