นักการเมืองนั้น..ไม่เคยสนใจประโยชน์สุขของประชาชนอย่างแท้จริง..คิดแต่ผลประโยชน์ของตนเองก่อนเป็นอันดับแรก
รัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่อ้างว่ามาจากการเลือกตั้งและเป็นประชาธิปไตยก็เช่นกัน..เห็นหน้าเห็นตาแต่ละคนแล้ว..มองทะลุถึงหัวใจ..มีแต่ปลอมๆ..ปากชอบอ้างประชาชนและประเทศชาติ..แต่ทุกเรื่องทุกปัญหาที่ลงมือปฏิบัติ..มีเป้าหมายอยู่ที่ผลประโยชน์และการกระชับอำนาจ..เพื่อสืบทอดอำนาจและสืบทอดสันดานต่อไปในวันหน้า
ชัดเจนที่สุด ก็คือ..โครงการ“ดิจิทัลวอลเล็ต”เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ..ซึ่งหนึ่งปีผ่านไปและเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีมาเป็นคนที่สอง..ก็ยังไม่ได้กระตุ้นกันสักที
มิหนำซ้ำกระตุ้นไปกระตุ้นมา..ก็กลายเป็นว่าเอาเงินภาษีของประชาชนมาหว่านแจกเฟสแรกเฉพาะกลุ่มเปราะบางเป็นเงินสดคนละ 1 หมื่นบาทจำนวน 14.5 ล้านคน..โดยใช้เงินงบประมาณทั้งสิ้น 1.42 แสนล้านบาท..และเป็นเงินก้อนโตที่คนไทยทั้ง 70 ล้านคนจะต้องแบกรับภาระการใช้หนี้ร่วมกันในอนาคต
แน่นอนว่ากลุ่มเปราะบาง 14.5 ล้านคน ที่จะทยอยแจกในเฟสแรกตั้งแต่วันที่ 25 กันยายนนี้เป็นต้นไป..โดยแจกให้แก่ผู้ที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐหรือบัตรคนจน ซึ่งรัฐบาลเคาะตัวเลขออกมาแล้วว่ามีจำนวน 12.4 ล้านคน..และผู้พิการอีก 2.1 ล้านคน นั้น..ไม่มีใครคัดค้านหรือไม่เห็นด้วย..มีแต่เสียงสนับสนุนว่าสมควรที่จะได้รับการดูแลเป็นลำดับแรก
แต่ถ้าหากพิจารณากันให้ถ่องแท้..ก็จะเห็นว่า การแจกเงินตามโครงการ“ดิจิทัลวอลเล็ต”ที่เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ..จากเดิมที่กำหนดว่า..จะแจกประชาชนคนไทยทั้งหมด 50 ล้านคนที่มีอายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไป..โดยมีเงินได้ไม่เกินปีละ 8.4 แสนบาท และไม่มีเงินฝากทุกบัญชีเกิน 5 แสนบาท..ถึงวันนี้ก็ได้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง..แจกได้เฉพาะเฟสแรกกับกลุ่มเปราะบางเท่านั้น..และจากแจกเงินดิจทัลก็เปลี่ยนเป็นแจกเงินสด
ทั้งนี้ นอกจากจะแจกได้เฉพาะเฟสแรกกับกลุ่มเปราะบางจากเงินดิจทัลเป็นเงินสด..เงื่อนไขในการจับจ่ายใช้สอยที่เคยจำกัดเฉพาะสินค้า“อุปโภค-บริโภค”บางรายการ..ก็เปลี่ยนเป็นไม่มีข้อจำกัดใดๆ..สามารถซื้อได้ทุกอย่างที่ขวางหน้า..ไม่ว่าจะหวยบนดินใต้ดิน..หรือเครื่องดื่มยาดองของเมา..ตลอดจนพื้นที่ในการจับจ่ายใช้สอย..จากเฉพาะในเขตอำเภอก็สามารถนำเงินไปใช้ที่ไหนก็ได้ทั่วทั้งจักรวาล
ถามว่าใครได้ประโยชน์เต็มๆ..ก็พรรคเพื่อไทยนั่นเอง..ไม่ใช่ใครที่ไหน..เพราะนี่คือโครงการประชานิยมของ“ระบอบทักษิณ”..เอาเงินของแผ่นดินไปจ่ายให้ชาวบ้านตามที่พรรคเพื่อไทยหาเสียง“ตกเขียว”ไว้ตอนเลือกตั้ง..ซึ่งกลุ่มเปราะบางจำนวน 14.5 ล้านคนนั้น..ส่วนใหญ่ล้วนเป็นชาวบ้านที่อยู่ในชนบท..นี้ก็คือเป้าหมายในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งหน้าของพรรคเพื่อไทย..แบบตรงเป้าตรงประเด็น..สำหรับความหวังที่จะชนะการเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์..เช่นเดียวกับที่พรรคไทยรักไทยเคยทำได้มาแล้วเมื่อครั้งอดีต
โครงการ“ดิจิทัลวอลเล็ต”..ก็ไม่ต่างจาก“โครงการ ๓๐ บาทรักษาทุกโรค” หรือ“โครงการกองทุนหมู่บ้านละ 1 ล้านบาท”..ที่จากพรรคไทยรักไทยมาจนถึงพรรคเพื่อไทยในวันนี้..ก็ยังใช้อ้างเป็นผลงานตีกินหรือหาคะแนนนิยมจากชาวบ้านได้
ดังนั้น การแจกเงิน 1 หมื่นบาทด้วยเงินสด..ในความเข้าใจอันเป็นการฝังจำของชาวบ้านก็คือ..เป็นนโยบายของพรรคเพื่อไทย..และเป็นบุญคุณที่ชาวบ้านจะต้องทดแทนเมื่อการเลือกตั้งมาถึง..พร้อมกับยังมีการจ่ายเงินซื้อเสียงอัดฉีดที่หน้างานเมื่อถึงวันเลือกตั้งเป็นโบนัสพิเศษอีกต่างหาก
ถึงที่สุดแล้ว..เฟสสองที่จะแจกหลังจากแจกเฟสแรกให้แก่กลุ่มเปราะบางจำนวน 14.5 ล้านคนสำเร็จเสร็จสิ้น..ก็ไม่แน่ว่าสำหรับกลุ่มผู้มีสมาร์ทโฟนที่ได้ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชันทางรัฐไว้แล้วจำนวน 36 ล้านคนนั้น..จะได้รับการแจกหรือไม่
เพราะว่าการตามจริง..เฟสสองจะดำเนินต่อไปได้หรือไม่ได้นั้น..ไม่ใช่ปัญหาที่พรรคเพื่อไทยจะต้องวิตกกังวล..เนื่องจากกลุ่มเปราะบาง 14.5 ล้านคนคือเป้าหมายสำคัญในการเลือกตั้งครั้งหน้าที่ได้บรรลุผลแล้ว
และถ้าหากไม่มีปัญหาอุปสรรคใดอันเป็นเหตุให้ต้องยกเลิกเฟสสอง..สามารถดำเนินต่อไปได้..ก็ถือว่าเป็นกำไรและโบนัสของพรรคเพื่อไทย..ที่จะได้คะแนนนิยมจากคนจำนวน 36 ล้านคน..ซึ่งได้ลงทะเบียนผ่านแอปฯทางรัฐ..เพิ่มขึ้นมาอีกหลายล้านเสียง
จากนโยบายประชานิยมตามโครงการ“ดิจิทัลวอลเล็ต”ที่พรรคเพื่อไทยจะมีแต่ได้กับได้..โดยไม่ต้องควักเงินจากกระเป๋าของ“นายใหญ่แห่งบ้านจันทร์ส่องหล้า”มาแจก..อีกประการหนึ่งที่ยังเป็นอุปสรรคสำคัญ ก็คือ..บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน..ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญฉบับ“ปราบโกง”ที่นักการเมืองฉ้อฉลหวาดกลัวนักหนา
บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญฉบับนี้..วางกลไกคัดกรองผู้ที่จะลงสมัครเป็น สส.ตั้งแต่ด่านแรก..ที่กำหนดไว้ในมาตรา 98 เกี่ยวกับคุณสมบัติต้องห้ามของผู้ที่จะลงสมัครรับเลือกตั้ง..และนอกจากนั้น การเข้าสู่อำนาจในตำแหน่งรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรี..ก็มีบทบัญญัติตรวจสอบที่เข้มข้นยิ่งขึ้นไปอีกตามมาตรา 160
ตามมาตรา 160 ที่ว่านั้น..มีตัวอย่างให้เห็นแล้วก็คือ..การที่นายเศรษฐา ทวีสิน ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี..เพราะขาดคุณสมบัติตามมาตรานี้ (4) ที่กำหนดไว้ว่า“มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์” และ (5) “ไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง..จากการแต่งตั้ง“ทนายถุงขนม-พิชิต ชื่นบาน” เป็นรัฐมนตรี..และเวลานี้“มาดามแพ-แพทองธาร ชินวัตร”ก็เป็นอีกคนหนึ่ง..ที่มีผู้ร้องให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามบทบัญญัติดังที่กล่าวมา
จึงเห็นได้ว่า..หลังจากรัฐบาล“อุ๊งอิ๊งค์ 1”แถลงนโยบายต่อรัฐสภาเสร็จสิ้น..ว่าจะเร่งจัดทำ“รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน”ให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้นโดยเร็วที่สุด..ซึ่งก็เร็วทันใจจริง ๆ..เพราะเมื่อวันที่ 17 กันยายนวานนี้..นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี จากพรรคเพื่อไทย..ได้ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการยกร่างแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญรายมาตราเกี่ยวกับประเด็นจริยธรรม และความซื่อสัตย์สุจริต ว่า..“พรรคเพื่อไทยเป็นเจ้าภาพซึ่งเรากำลังยกร่างอยู่”..โดยนายชูศักดิ์กล่าวว่า อย่างเร็วที่สุดภายในสัปดาห์หน้าก็อาจจะยื่นร่างแก้ไขเสนอต่อสภาฯได้
ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น..พรรคเพื่อไทยยังมองไปถึงการแก้ไขกฎหมายที่จะเอาผิดกับบรรดา“นักร้อง”ที่ยื่นตรวจสอบ“ปมจริยธรรม”ของรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีอีกด้วย
ทั้งหมดนี้ก็คือการเพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์และอำนาจที่จะ“สืบสันดาน”กันต่อๆ ไป..มันก็คือการที่จะ“ต่อท่อ”เพื่อ“สืบอำนาจ”นั่นเอง !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี