ช่วงที่ผ่านมาเราได้เห็นว่ามีความพยายามพูดจาเชิงโฆษณาชวนเชื่อว่า บัดนี้ทุกสีทางการเมือง ที่ต่างเคยเป็นคู่อริขับเคี่ยวกันทางการเมืองมาอย่างโชกโชน ถึงขนาดเลือดตกยางออก ติดคุกติดตะรางกันไปในอดีต แต่บัดนี้ ต่างกลับมาหันหน้าเข้าหากัน เพื่อสร้างความปรองดองสมานฉันท์ มาร่วมกันสร้างบ้านสร้างเรือน ฉะนั้น ก็มิได้ต้องมีเหตุอันใดที่จะคงความแค้นเคืองหักร้างกันต่อไปอีก หรือนัยหนึ่ง ประชาชนพลเมืองทั้งหลายโปรดนั่งเฉยๆ ไม่ต้องร้อนรน อารมณ์ขุ่นมัวอีกต่อไป โปรดปล่อยให้บรรดาผู้ปรองดองสมานฉันท์ทั้งหลายได้มีโอกาสปกครองและรับใช้บ้านเมือง และฉะนั้นบ้านเมืองก็จะสงบเรียบร้อยและเจริญก้าวหน้า
หรือหากจะพูดจากอีกมุมหนึ่ง ก็พอสรุปได้ว่า ผู้ยิ่งใหญ่ต่างๆ ของบ้านเมืองก็หันมาจับมือกันได้แล้ว เพราะฉะนั้นชาวบ้านต้องรับรู้รับทราบ และทำตัวให้สงบเสงี่ยม แล้วบ้านเมืองก็จะดีเอง ชาวบ้านจงอย่าได้หือ หรือมีอากัปกิริยากระด้างกระเดื่องแต่อย่างใด ทุกคนต้องรับสภาพ และทำใจกับการจับมือของกลุ่มอำนาจการเมืองให้ได้
นั่นก็แสดงให้เห็นว่า บรรดาผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดิน และกระบอกเสียง รวมถึงสมุนรับใช้ต่างๆ มิได้คำนึงถึงหรือมิได้แยแสต่อความรู้สึกของสังคมแต่อย่างใด เพราะผู้ยิ่งใหญ่หลากสีต่างๆ ได้มาตกร่องปล่องชิ้นกันเองแล้ว โดยมิได้มีการถามไถ่ลูกบ้านกันก่อนแต่อย่างใด อาจจะเพราะตลอดมา เขาก็มอง และคิดว่าลูกบ้านทั้งหลายเป็นแค่ตัวเลขแสดงฐานพละกำลังเท่านั้น เมื่อคิดว่าไร้ประโยชน์แล้วก็สามารถละทิ้งไปได้ทุกเมื่อ
มันจึงสร้างความคุกรุ่นให้ฝัง และกระจายตัวอยู่ในทั่วพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ โดยเฉพาะในประเด็นที่ว่า ฝ่ายผู้ยิ่งใหญ่ต่างๆ คิดถึงแค่ผลประโยชน์ของตนเอง เมื่อประสบความสำเร็จในการจัดให้ผลประโยชน์ลงตัว หรือจัดทำสูตรว่าด้วยการร่วมมือกัน สามารถคงและกระชับอำนาจไปอยู่ในมือของฝ่ายตนที่เป็นกลุ่มอภิสิทธิ์ชน มากไปด้วยกำลังทรัพย์ และอิทธิพลทั้งในแวดวงราชการและการเมืองระดับสูง ก็เลยคิดว่าไม่จำเป็นต้องพึ่งมวลชนอีกต่อไป อีกทั้งมวลชนจำนวนไม่น้อยในวันนี้ ได้หันไปให้ความสนใจ และสนับสนุนกลุ่มชุดการเมืองรุ่นใหม่ที่ประกอบด้วยคนหนุ่มคนสาว ที่มีแนวคิดไม่เอาด้วยกับกลุ่มอภิสิทธิ์ชนและอนุรักษ์นิยม เพราะต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงในสังคมไปสู่ความเสมอภาคและทัดเทียมยิ่งขึ้น
ในการนี้ก็จัดได้ว่าสังคมไทยได้มีการแบ่งแยกออกเป็น 2 กลุ่มหลักๆ คือ กลุ่มผู้มากด้วยอำนาจวาสนา และกลุ่มมวลชนคนส่วนใหญ่ และฉะนั้นผู้ที่ได้รับประโยชน์จากการปรองดองสมานฉันท์ จึงต้องออกมาพยายามโฆษณาชวนเชื่อกันดังกล่าว แต่ก็เป็นเรื่องที่จำกัดอยู่ในวงแคบเท่านั้น และวงแคบนี้ เป็นการท้าทายกับวงมวลชนที่เป็นส่วนใหญ่ของประเทศ
นอกจากนั้น การได้มาซึ่งรัฐบาลชุดนี้ก็มิได้สะท้อนผลการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคมปีก่อน ซึ่งมีการบิดเบือนทำให้การได้มาซึ่งคณะรัฐบาลทั้งชุด เศรษฐา ทวีสิน และชุดแพทองธาร ชินวัตร มิได้เป็นไปอย่างที่ถูกที่ควร อีกทั้งพรรคการเมืองอันได้แก่ พรรคเพื่อไทยที่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลทั้งสองชุดดังกล่าว ก็เป็นพรรคการเมืองที่อยู่ในอาณัติของครอบครัวการเมือง
การจะอ้างว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปภายใต้บริบทประชาธิปไตยจึงเป็นเรื่องที่เสแสร้ง ลวงโลกแล้วก็เป็นเชื้อของความขัดแย้งที่ทำให้คำว่า “ปรองดองสมานฉันท์” ซึ่งเป็นเรื่องวาทะลมๆ แล้งๆ อีกเรื่องหนึ่ง
ในการนี้ ปวงชน และสังคมไทยก็คงจะต้องทำใจ และอดทนกันไปอีกสักพักหนึ่ง แต่ด้วยความเชื่อมั่นว่าไม่มีอะไรจะมีความจีรังยั่งยืนไปได้ยาวนาน โดยเฉพาะที่ไม่ดีไม่งาม ก็คาดว่าในไม่ช้า ผู้ยิ่งใหญ่ที่ไร้ธรรมะทั้งหลายจะต้องหักหลัง ฆ่าฟันกันเอง จนทำลายตนเองในที่สุด หรือไม่ฝ่ายปวงชนที่ทนไม่ไหวก็จะออกมารวมตัวเพื่อเรียกหาความเป็นธรรม และจัดการบ้านเมืองให้นำไปสู่ความปรองดองสมานฉันท์ ที่เป็นผลประโยชน์ต่อคนในสังคมอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของกลุ่มอำนาจการเมืองอย่างที่เห็นในวันนี้
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี