นับตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา การต่อสู้ทางการเมืองก็ได้ผันแปรเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา และนับวันยิ่งโหดร้ายอำมหิตมากขึ้น แต่ที่สำคัญคือเป็นประโยชน์แก่ประชาชนน้อยลงทุกวัน จนกระทั่งการต่อสู้ทางการเมืองกำลังกลายเป็นคมหอกคมดาบที่ทำร้ายประเทศชาติและประชาชนไปโดยไม่รู้สึกตัว
ก็เป็นที่เข้าใจตรงกันว่า การเมืองนั้นย่อมเป็นการต่อสู้กันระหว่างฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายค้าน โดยอาจมีการระดมสรรพกำลังที่เกี่ยวข้องเพื่อประโยชน์ในการต่อสู้นั้นด้วย โดยเฉพาะการช่วงชิงความเข้าใจในหมู่ประชาชน ซึ่งจำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยสื่อมวลชนในรูปแบบต่างๆ
เพราะเป้าหมายและผลของการต่อสู้นั้น เมื่อกล่าวถึงที่สุดแล้วก็คือประชาชน คือการช่วงชิงประชาชนให้มาสนับสนุนฝ่ายตน และไม่เชื่อมั่นไม่พอใจอีกฝ่ายหนึ่ง โดยมีกระบวนการคือการเอาชนะทางการเมืองกับคู่ต่อสู้ เพื่อให้สูญเสียไปซึ่งอำนาจทางการเมือง
เพราะเหตุนั้นแนวรบใหญ่ของการต่อสู้ทางการเมืองแต่ไหนแต่ไรมาจึงเป็นเวทีการต่อสู้ในรัฐสภาระหว่างฝ่ายค้านกับรัฐบาล โดยวิธีการคือการเอาชนะในญัตติต่างๆ ไม่ว่าญัตติเกี่ยวกับร่างกฎหมายหรือญัตติอื่น แม้กระทั่งญัตติการเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาล อย่างน้อยที่สุดก็หวังผลต่อการทำให้องค์ประชุมไม่ครบตามข้อบังคับ ซึ่งทำให้ฝ่ายรัฐบาลจะต้องรับผิดชอบ ไม่ว่าจะเป็นการยุบสภา หรือลาออก หรือพ้นจากตำแหน่งตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติก็ตาม
การต่อสู้กันในสมรภูมิสภาดังกล่าวได้ดำเนินมาอย่างยาวนาน จนกระทั่งเมื่อ 18 ปีก่อนก็ได้เกิดการต่อสู้แนวรบใหม่ขึ้นมา นั่นก็คือการจัดชุมนุมเดินขบวน ซึ่งทำกันเป็นล่ำเป็นสันและใช้เวลายาวนาน แต่ในที่สุดการชุมนุมเดินขบวนเหล่านั้นไม่ว่าอย่างไรก็ล้มรัฐบาลไม่ได้แต่ทำให้เกิดปัญหาความขัดแย้งที่ยกระดับสูงขึ้นจนไม่มีทางออกอย่างอื่นที่จะแก้ไขปัญหาความขัดแย้งนั้น
ในที่สุดก็เกิดการยึดอำนาจโดยฝ่ายทหารอ้างความไม่สงบเรียบร้อยในบ้านเมืองเข้าทำการยึดอำนาจแล้วตั้งรัฐบาลขึ้นบริหารบ้านเมือง จากนั้นก็ทำการร่างรัฐธรรมนูญและนำไปสู่การเลือกตั้ง แล้วก็จะเกิดความขัดแย้งในสภาหรืออาจเกิดการเดินขบวนบนถนนขึ้นอีก ดังเช่นกรณีการยึดอำนาจเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 เป็นต้น
แต่ในที่สุดก็เกิดปรากฏการณ์ใหม่ขึ้นมาในการล้มรัฐบาล นั่นก็คือการใช้มาตรการทางกฎหมายซึ่งมีการวางหมากวางเกมกลไว้ในรัฐธรรมนูญและกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญต่างๆ โดยเฉพาะคือการตั้งอำนาจที่สี่ขึ้นมานอกจากอำนาจนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการแต่เดิม ให้มีอำนาจที่สี่คืออำนาจของศาลรัฐธรรมนูญที่มีอำนาจเหนือกว่าอำนาจอธิปไตยทั้งสามซึ่งเป็นหลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
นั่นคือให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจในการยุบพรรคการเมือง ในการถอดถอนตำแหน่งทางการเมืองตั้งแต่นายกรัฐมนตรีลงไป และอำนาจในการตัดสิทธิ์ทางการเมือง ดังนั้นอำนาจที่สี่นี้จึงสามารถทำให้อำนาจรัฐล้มครืนลงเช่นเดียวกับการรัฐประหาร โดยที่ไม่ต้องใช้ปืนหรือรถถัง และนับวันอำนาจนี้ก็จะขยายตัวมากขึ้นจนไม่รู้ว่าขอบเขตของอำนาจอยู่ตรงไหน
โดยเฉพาะการสร้างบรรทัดฐานแห่งอำนาจที่สี่ล่าสุด ที่มีการตัดสินให้ยุบพรรคก้าวไกลและตัดสิทธิ์ทางการเมืองกรรมการบริหารพรรค หรือการถอดถอนนายเศรษฐา ทวีสิน ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นการขยายขอบเขตอำนาจที่สี่ออกไปอย่างกว้างขวางจนไม่มีใครทราบได้ว่าถ้อยคำเรื่องมาตรฐานทางจริยธรรมเพียงคำเดียวนี้จะมีความหมายที่แท้จริงว่าอย่างไร และมีขอบเขตในเรื่องใดบ้าง
จึงเกิดการหวาดผวาถึงขอบเขตที่หาแน่นอนมิได้กระทั่งลุกลามไปจนถึงการพิจารณาแต่งตั้งตำแหน่งทางการเมืองที่มิได้ใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีหรือตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรี หรือตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรี ซึ่งเป็นตำแหน่งที่แต่งตั้งได้โดยการใช้อำนาจตามกฎหมายชั้นรองคือกฎหมายบริหารราชการแผ่นดิน หรือกระทั่งระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี
ก็มีอาการหวาดผวาว่าการแต่งตั้งดังกล่าวอาจจะอยู่ในวงอำนาจของสิ่งที่เรียกว่ามาตรฐานทางจริยธรรมก็ได้ ดังนั้นจึงทำให้การบริหารราชการแผ่นดินปั่นป่วนวุ่นวายหาความแน่นอนอันใดมิได้ ซึ่งนี่ก็คือปัญหาใหญ่ปัญหาหนึ่ง
เพราะเหตุที่การใช้อำนาจที่สี่มีมรรคผลใหญ่หลวงที่สุดอย่างนี้ ดังนั้น จึงเกิดค่านิยมใหม่และพิเศษเกิดขึ้นในประเทศไทยที่ผิดแผกแตกต่างจากบรรดาประเทศประชาธิปไตยทั้งหลายในโลก นั่นก็คือได้เกิดแนวรบนักร้องขึ้นในวงการเมืองของประเทศอย่างกว้างขวาง จนทำให้ขอบอำนาจที่สี่ดำทะมึนยิ่งกว่าเงาของปิศาจร้ายที่ทาบอยู่เหนือท้องฟ้าประเทศไทยไปแล้ว
เพราะอำนาจที่สี่มีบทบาทมากขนาดนี้ ดังนั้น การร้องเรียนทั้งหลายเพื่อให้อำนาจที่สี่เข้ามามีอำนาจจัดการอำนาจรัฐหรืออำนาจทางการเมืองจึงเกิดขึ้นและขยายตัวไปอย่างกว้างขวาง จนกระทั่งมีบทบาทยิ่งกว่าบทบาทการต่อสู้ในรัฐสภา หรือการเดินขบวนบนถนนเสียอีก
ในปัจจุบันนี้สามารถกล่าวได้ว่าความแปลกประหลาดที่สุดที่แฝงตัวอยู่ในสิ่งที่เรียกว่าระบอบประชาธิปไตยก็คือแนวรบนักร้องที่พยายามใช้อำนาจที่สี่ในการเปลี่ยนแปลงอำนาจทางการเมืองที่ประชาชนได้เลือกตั้งอย่างไม่สนใจไยดีว่าจะเกิดความพินาศฉิบหายอย่างไรขึ้นกับประเทศไทย
ดังนั้นในแต่ละวันบรรยากาศการเมืองของประเทศจึงไม่มีเรื่องอื่นใดนอกจากเรื่องนักร้องและการร้องของนักร้องในเรื่องราวทั้งหลายที่มีเป้าหมายเพื่อจะโค่นล้มอำนาจรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนจนเกิดความระส่ำระสายขึ้นโดยทั่วไป และในไม่ช้าไม่นานนักรัฐบาลก็จะเดี้ยง บริหารราชการบ้านเมืองไม่ได้ เพราะต้องใช้เวลากับการแก้ข้อกล่าวหาสารพัดอันเป็นผลจากการร้องที่กำลังประดังร้องกันทุกวัน จนประเทศไทยของเรานี้ไม่มีเรื่องอื่นใดนอกจากการร้องมหาประลัยที่ต้องฉิบหายวายวอดกันไปข้างหนึ่งหรือฉิบหายวายวอดกันไป
ทั้งประเทศ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี