เมื่อมีหนี้ ต้องใช้หนี้ อย่าหนีหนี้ อย่าเบี้ยวหนี้เพราะมันคือการทำร้ายกันและกันโดยตรง และยังทำร้ายสังคมโดยอ้อมอีกด้วย แต่เมื่อถามว่าทำไมจึงมีหนี้สิน ก็ตอบได้ว่า เพราะเงินไม่พอใช้ หรืออาจจะมีเงินพอใช้อยู่ก็จริง แต่ด้วยความโลภ ความไม่รู้จักประมาณตัว จึงจงใจก่อหนี้ก่อสิน เพราะคิดเข้าข้างตัวเองว่ายังมีปัญญาหาเงินไปชดใช้หนี้ แต่เมื่อสุดท้ายกลายเป็นไม่มีปัญญาชดใช้หนี้ ก็จึงก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ นานาสารพัดชนิดตามมา ทั้งปัญหาอาชญากรรม ปัญหาไม่ตั้งใจทำงาน ไม่รับผิดชอบภาระหน้าที่ ตามมาด้วยปัญหาทะเลาะวิวาท และปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นในแง่มุมต่างๆดังพบเห็นได้เป็นประจำและเสมอๆ ในสังคมไทยโดยเฉพาะในกลุ่มของผู้มีปัญหาหนี้สินรุกรังล้นพ้นตัว
หากจะพูดกันตามหลักความจริงของการก่อหนี้แล้ว ต้องยอมรับว่าการก่อหนี้บางอย่างก็ถือเป็นการลงทุนเพื่ออนาคต เช่น การก่อหนี้เพื่อซื้อบ้านสำหรับอยู่อาศัย หรือการก่อหนี้เพื่อลงทุนกับการศึกษาหาความรู้ เพิ่มเติมคุณวุฒิทางวิชาการ การก่อหนี้เพื่อการฝึกฝนอาชีพเพิ่มเติม ตามหลักการ re-skill, up-skill, new-skill
อย่างไรก็ตาม เราได้พบความจริงว่า ยังมีคนจำนวนไม่น้อยในสังคมไทยจงใจก่อหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์กับอนาคตของตนเองแม้แต่น้อย แต่ก็ยังคงก่อหนี้ต่อไปเรื่อยๆ และเรื่องนี้จะยิ่งเลวร้ายมากขึ้นไปอีก เมื่อไปผสมกับความฉ้อฉลของนักการเมืองที่มองเห็นว่าคนเป็นหนี้คือเหยื่อทางการเมืองของตนเองแล้วใช้คนเป็นหนี้หรือคนจนเป็นบันไดการเมืองเพื่อนำพาให้นักการเมืองฉ้อฉลเหยียบขึ้นไปสู่การมีอำนาจรัฐโดยไม่ชอบธรรม
ความจริงที่ต้องยอมรับก็คือ ทุกวันนี้สังคมไทยมีหนี้ครัวเรือนมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของ GDP โดยดูจากในระยะ 20 ปีที่ผ่านมา จะพบว่าหนี้ครัวเรือนของไทยเพิ่มจาก 50 เปอร์เซ็นต์ เป็นมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ และพบว่า 38 เปอร์เซ็นต์ของประชากรไทยมีหนี้เฉลี่ยจำนวน 5.4 แสนบาท (ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย แต่ข้อมูลของศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ระบุว่าหนี้ครัวเรือนเฉลี่ยกว่า 6 แสนบาทต่อครัวเรือน) แต่ที่น่าหนักใจคือหนี้ที่ว่านี้เป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้
สาเหตุที่ทำให้คนไทยจำนวนไม่น้อยมีหนี้สินมากมายก็เพราะรายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่ายประจำวัน และยังมีปัญหาอันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เมื่อประมาณ 3 ปีที่ผ่านมา ทำให้หลายคนตกงานหรือถูกลดเงินเดือน แต่ก็ยังคงมีรายจ่ายประจำวันคงเดิมหรืออาจจะมากกว่าเดิมในกรณีของกลุ่มคนที่มีปัญหาสุขภาพที่ค่อนข้างรุนแรง จึงทำให้ต้องก่อหนี้เพิ่มขึ้น
ในขณะที่คนไทยจำนวนไม่น้อยมีหนี้สินรุงรังล้นพ้นตัว ก็มีปัญหาตามมาอีกคืออัตราการออมเงินของคนไทยโดยรวมอยู่ในระดับต่ำมาก โดยพบว่าคนไทยประมาณ 22 เปอร์เซ็นต์มีเงินออมเพียงพอกับการใช้จ่ายเท่านั้น โดย 16 เปอร์เซ็นต์มีเงินออมเพียงพอสำหรับช่วงเกษียณอายุ ตัวเลขนี้แสดงให้เห็นชัดว่าคนไทยจำนวนมากหรือคนไทยส่วนใหญ่ไร้เงินออม เมื่อไร้เงินออม แล้วยังมีหนี้สินรุงรัง ก็หมายความว่าสังคมไทยเป็นสังคมที่ผู้คนจำนวนมากอยู่ในสภาวะที่เสี่ยงกับการอยู่แบบยากจนไปจนแก่เฒ่า หรือยากจนไปจนตาย
ส่วนตัวเลขการลงทุนของไทยก็ลดต่ำลงเป็นลำดับ พบว่าปัจจุบันมีตัวเลขการลงทุนลดลงจากเมื่อช่วงปี 2540 เหลือเพียง 2 เปอร์เซ็นต์จาก 10 เปอร์เซ็นต์ นั้นแสดงความคนงานไทยอยู่ในสภาวะเสี่ยงกับการไร้งานทำมากยิ่งขึ้น แล้วที่น่าวิตกคือการผลิตสินค้าไทยในภาคอุตสาหกรรมนั้นไม่ได้เน้นเรื่องการวิจัยและการพัฒนา (R&D) มากนัก เพราะพบว่าผู้ผลิตสินค้าอุตสาหกรรมไทยลงทุนด้าน R&D เพียง 3 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ซึ่งน้อยกว่าประเทศที่พัฒนาด้านอุตสาหกรรมแล้วอย่างเห็นได้ชัด และนี่คือมูลเหตุที่ทำให้สินค้าไทยในยุคหลังๆ รวมถึงยุคปัจจุบันไม่เป็นที่นิยมและต้องการของลูกค้าในตลาดโลก เพราะสินค้าไทยไม่มีพัฒนาการด้านเทคโนโลยีที่เท่าทันกับสินค้ายุคใหม่ในประเทศที่เน้นการพัฒนาและลงทุนด้าน R&D ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนคือ สินค้าอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ของไทยเทียบชั้นไม่ได้เลยกับสินค้าอุตสาหกรรมของเกาหลีใต้ ทั้งๆ ที่เกาหลีใต้เพิ่งฟื้นประเทศจากสงครามเกาหลีในช่วงทศวรรษ 1950
นี่เป็นแค่ตัวอย่างปัญหาของประเทศไทยที่รอรัฐบาลแก้ไขอย่างจริงจัง เหตุที่บอกว่ารอรัฐบาลแก้ไขปัญหา เพราะรัฐบาลมีหน้าที่บริหารประเทศจึงต้องแก้ปัญหาให้ได้ หากรัฐบาลแก้ปัญหาไม่ได้ ก็ไม่สมควรอยู่ในอำนาจต่อไป แล้วรัฐบาลไม่ต้องอ้างว่าปัญหามีมายาวนานแล้ว เพราะก่อนรับตำแหน่ง ก็รู้อยู่แล้วว่ามีประเทศมีปัญหา และยังสัญญาว่าเข้ามาแก้ปัญหา เพราะฉะนั้น จงแก้ปัญหาให้ได้ เพราะมันคือหน้าที่หลักของรัฐบาล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี