“สังคมไทยน่าตื่นตาตื่นใจ เสียงเคาะกะลา” กับ“วาทกรรมประดิษฐ์” ของ “นายกรัฐมนตรีสืบสันดาน,มาดามแพ/อุ๊งอิ๊งค์-แพทองธาร ชินวัตร” ทั้งในช่วงของการหาเสียงเลือกตั้ง และในช่วงของการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา ตามพิธีกรรมในรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 162
เพื่ออนาคตของประชาชนทุกคน มีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี แต่นโยบายหลักก็คงเป็นนโยบายประชานิยม สวัสดิการถ้วนหน้าที่อาศัยงบประมาณแผ่นดิน ซึ่งมาจากภาษีอากรประชาชน ภาษีที่นักการเมืองดีเอ็นเอเดียวกับท่านนายกรัฐมนตรีสืบสันดานพยายามอย่างยิ่งที่จะหลีกเลี่ยงไม่เสียภาษีกว่า 7,900 ล้านบาท จากกรณีการซื้อหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด เมื่อปี 2549
จนเป็นเหตุให้ “ลิ่วล้อในหนังจีน” ถูกพิพากษาจำคุกคนละ 2 ปี ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
ทว่านโยบายที่ “มาดามแพ/อุ๊งอิ๊งค์-แพทองธาร ชินวัตร” อ่านในที่ประชุมรัฐสภานั้น ถูกกูรู ระบุว่าไม่ใช่ทางรอดของเศรษฐกิจไทย รัฐบาลจะอาศัยแนวคิดเดิมๆ มาปฏิบัติไม่ได้ เพราะนโยบายประชานิยมเน้นสวัสดิการถ้วนหน้าตามระบอบทักษิณมันเป็นภาพลวงตาที่ไม่ยั่งยืนเป็นมายานักการเมือง
นักเศรษฐศาสตร์นักการธนาคารคนสำคัญที่นักการเมืองหัวตะกรุมสงสัยเรื่องสถาบันการศึกษาอย่าง“เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ” ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย แนะให้รัฐบาลเลิกคำนึงถึงจีดีพี
“นักการเมืองควรเลิกบ้าตัวเลขจีดีพีหันมายอมรับความเป็นจริง หันมาไล่ล่าความกินดี อยู่ดีมีสุขของชาวบ้านอย่างที่ประดิษฐ์วาทกรรม “มีกิน มีใช้มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี” ช่วยกันกระจายรายได้ กระจายความมั่งคั่งให้บานสะพรั่งไปทั่วทุกหัวเมืองแทนที่จะปล่อยให้กระจุกตัวอยู่ในกลุ่มธุรกิจยักษ์ใหญ่ - ทุนใหญ่ในกรุงเทพมหานครเหมือนอดีตที่ผ่านมา”
เพราะจีดีพียิ่งโต, ธุรกิจยักษ์ใหญ่ - ทุนใหญ่ ยิ่งอ้วน แค่ 5% ของธุรกิจยักษ์ใหญ่ - ทุนใหญ่กินส่วนแบ่งรายได้กว่า 85% ซึ่งเป็นการกระจุกตัวอยู่แต่ในกทม.และปริมณฑล เหลือกากเดน 15% กระจัดกระจายอยู่ตามหัวเมืองหลัก เมืองรอง เมืองลืมเมืองลับแลไปคำรามแบ่งแย่งกันกัดแทะ
ทว่า “ครม.สืบสันดาน” ควรกลับมาคิดใหม่ “ปฏิรูประบบเศรษฐกิจ”... สร้างผู้นำชุมชน สร้างเครือข่ายชุมชน เชื่อมโยงพลังชุมชนกับพลังเอกชนทำให้ชาวบ้าน ทำให้ชุมชนช่วยตัวเองได้ ไม่ต้องแบมือรอคอยความช่วยเหลือ
สมการสวัสดิการถ้วนหน้า ประชานิยมตามระบอบทักษิณ ประชากรไทยกว่า 66 ล้านคนคูณด้วยตัวเลขดัชนีชี้วัดเส้นความยากจน 2,977 บาทต่อเดือน ต้องใช้งบประมาณมโหฬาร มหาศาลกว่า 2.2 ล้านล้านบาทต่อปี เกือบเท่ากับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณหนึ่งเลยทีเดียว
นั่นหมายความว่าสวัสดิการถ้วนหน้าทำหน้าที่ ไม่ตรงปก
ปลดล็อกข้อจำกัด - อุปสรรค ... ปลดปล่อยพลังของชุมชน, กระจายอำนาจรัฐ กระจายความเจริญ ทำให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียนในท้องถิ่น กระจายไปทั่วทุกภูมิภาคทุกจังหวัด ไม่เลือกปฏิบัติ ดำเนินการอย่างจริงจังไม่ใช่สักแต่จะท่องคาถากระจายอำนาจ กระจายความเจริญสะเปะสะปะเป็นนกแก้วนกขุนทอง เป็นสุนัขเห่าใบตองแห้ง เชื่อมโยงตลาดท้องถิ่นกับตลาดสากล ประสานความร่วมมือที่ช่วยเสริมพลังระหว่างกันในพื้นที่ ให้ชุมชนสามารถช่วยตัวเองได้ พัฒนาประสิทธิภาพกลไกกระบวนการติดตาม ผลสัมฤทธิ์
หัวใจสำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตชุมชน, ข้อมูลรายละเอียดชุมชนต้องถูกต้องแม่นยำ ทั้งทุนมนุษย์, ทุนสังคม, ทุนกายภาพ, ทุนธรรมชาติ และทุนเศรษฐกิจ และต้องเกี่ยวเนื่องกับทุนทางวัฒนธรรม - ทรัพยากรในชุมชน ขีดความสามารถในการจัดการตนเอง, พัฒนาผลิตภัณฑ์สะท้อนอัตลักษณ์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะถิ่นด้วยทรัพยากรในท้องถิ่น
เศรษฐกิจไทยจะพ้นจากหลุมดำ ก้าวข้ามความหดหู่ห่อเหี่ยวได้ต้องพลังประชารัฐเท่านั้น ซึ่งอยู่ในหมู่บ้าน ชุมชน และท้องถิ่น
ไม่ใช่จากกรุงเทพมหานคร ปริมณฑล ไม่ใช่ ธุรกิจยักษ์ - ทุนใหญ่
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี