การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่พรรคเพื่อไทยเป็นตัวตั้งตัวตีในเวลานี้ อาจจะกลายเป็นปัญหา“น้ำผึ้งหยดเดียว” ย่อมมีความเป็นไปได้สูงที่จะทำให้เกิดวิกฤตการเมืองในอนาคตอันใกล้นี้
หลายฝ่ายมองเห็นตรงกันว่า สถานการณ์จะเหมือนกับกรณีพรรคเพื่อไทยพยายามจะออกกฎหมายนิรโทษกรรม“ฉบับสุดซอย”ล้างผิดให้“ทักษิณ ชินวัตร”ที่เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในปี 2556
เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ประชาชนเรือนล้านต้องออกมาชุมนุมบนท้องถนนร่วมกับ กปปส. และเป็นชนวนนำไปสู่การยึดอำนาจในวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 โดย คสช.ที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
พรรคเพื่อไทยไม่เคยจำบทเรียน เมื่อได้อำนาจแล้วก็ลุแก่อำนาจ กรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่กำลังเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในเวลานี้ก็เช่นกัน เป็นเพราะว่า พรรคเพื่อไทยโดยอดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ประเมินอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของประชาชนต่ำเกินไป จึงไม่เห็นหัวประชาชน
ย้อนไปดูก็ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อ 11 ปีที่แล้ว ซึ่งรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในสมัยนั้น ใครก็รู้ว่านายกรัฐมนตรีที่ชื่อ‘ยิ่งลักษณ์’ไร้สติปัญญา เพราะเป็น“นอมินี”ให้พี่ชายคือ“ทักษิณ”ที่หลบหนีโทษจากคดีทุจริตอยู่ในต่างประเทศเป็นผู้“ชักใย” และด้วยคิดว่าเสียง สส.ของพรรคเพื่อไทยที่มีอยู่ท่วมท้นในสภาฯ จะออกกฎหมายอะไรก็ทำได้ทั้งนั้น โดยมิได้คำนึงว่าประชาชนจะคิดเห็นอย่างไร
ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม“ฉบับสุดซอย” หรือ“ฉบับเหมาเข่ง”ก็เช่นกัน ที่เสนอโดยนายวรชัย เหมะ สส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทยในขณะนั้น พร้อมกับ สส.อีก 42 คน หลังจากผ่านวาระแรกในวันที่ 8 สิงหาคม 2556 แล้ว ก็ใช้“วิชามาร”ในขั้นตอนการแปรญัตติของคณะกรรมาธิการวิสามัญ
โดยคณะกรรมาธิการวิสามัญเสียงข้างมากที่เป็น สส.พรรคเพื่อไทย ได้มีมติเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2556 ให้เปลี่ยนร่างกฎหมายที่ผ่านวาระแรก ไปใช้ร่างกฎหมายของนายประยุทธ์ ศิริพานิชย์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และ สส.ของพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นรองประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญชุดนี้แทน
หลักการของร่างกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับของนายประยุทธ์ ศิริพานิชย์ นั้น ได้เปลี่ยนหลักการจากร่างกฎหมายที่ผ่านวาระแรกแบบมี“วาระซ่อนเร้น”
ทั้งนี้ร่างเดิมที่เสนอโดยนายวรชัย เหมะ และคณะ ให้นิรโทษกรรมเฉพาะ การกระทำที่เกี่ยวกับการชุมนุมทางการเมืองและการแสดงออกทางการเมืองเท่านั้น
แต่ร่างใหม่“ฉบับสุดซอย-เหมาเข่ง”ของนายประยุทธ์ ศิริพานิชย์ ได้เพิ่มการนิรโทษกรรมที่รวมถึงคดีทุจริตย้อนหลังไปถึงปี 2547 ด้วย นั่นก็หมายถึงจะล้างผิดให้แก่“ทักษิณ ชินวัตร” พ้นจากคดีทุจริตทุกคดีที่ทักษิณตกเป็นนักโทษ, เป็นจำเลย และเป็นผู้ต้องหาอยู่ขณะนั้น
เมื่อร่างกฎหมาย“ฉบับสุดซอย-เหมาเข่ง”ของนายประยุทธ์ ศิริพานิชย์ ขยายการนิรโทษกรรมรวมคดีทุจริตย้อนหลังไปถึงปี 2547 ก็จะมีผลทำให้คดีทุจริตของ“ทักษิณ ชินวัตร”ที่อยู่ในอำนาจการสอบสวนของ คตส.เหมือนถูก“เซตซีโร” คือเท่ากับเป็นศูนย์ ซึ่งบางคดีก็มีการพิพากษาตัดสินไปแล้ว และมีหลายคดีที่ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดไปแล้ว โดยอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล และที่ยังอยู่ระหว่างขั้นตอนการพิจารณาสอบสวนของ ป.ป.ช.ก็มีอีกหลายคดี
สุดท้ายกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับนี้ก็กลายเป็นปัญหา“น้ำผึ้งหยดเดียว”ขึ้นมาจนได้ โดยในวันที่ 31 ตุลาคม 2556 ประธานสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคเพื่อไทย คือนายนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ได้สั่งให้ลงมติในวาระ 2 และ 3 ติดต่อกัน หลังจากอภิปรายกันมายาวนานกว่า 19 ชั่วโมง ผลการลงมติวาระ 3 ในเวลา 04.25 น.หรือประมาณตีสี่ครึ่ง ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบร่างกฎหมายฉบับนี้ที่ได้เพิ่มมาอีกหนึ่งฉายาว่า“ฉบับลักหลับ” ด้วยคะแนนเสียง 310 : 0 เสียง อันเป็นเสียงของ สส.พรรเพื่อไทยทั้งหมด
นั่นคือชนวนสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาบานปลาย จากการชุมนุมที่บริเวณสถานีรถไฟสามเสนหลังจากเกิดกรณี“ลักหลับ”ในวันที่ 31 ตุลาคม 2556 ก็ทำให้นับแต่วันนั้นเป็นต้นมาได้กลายเป็นการชุมนุมข้ามปี จากประชาชนจำนวนพันจำนวนหมื่นก็เพิ่มขึ้นเป็นเรือนแสนเรือนล้าน และในที่สุดก็เกิดการเผชิญหน้าระหว่างมวลชนคนเสื้อแดงฝ่ายรัฐบาลพรรคเพื่อไทย กับมวลมหาประชาชนของกลุ่ม กปปส. โดยที่ฝ่าย กกปส.ถูกกระทำจนมีคนบาดเจ็บล้มตายนับพันคน
คสช.ที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ในขณะนั้น จึงจำเป็นต้องเข้ามาแก้ปัญหาเพื่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง และรักษาชีวิตของคนไทยไม่ให้บาดเจ็บล้มตายเพิ่มมากขึ้นไปอีก ด้วยการยึดอำนาจรัฐบาลรักษาการที่มีนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมตรีแทน“ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”ซึ่งถูกศาลรัฐธรรมนูญถอดถอนออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2557
อนึ่ง “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ถูกถอดออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี อันเนื่องมาจากกรณีย้าย“นายถวิล เปลี่ยนศรี”ออกจากตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เพื่อเป็นการเอื้อประโยชน์ให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ พี่ชายคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ ขึ้นเป็น ผบ.ตร. หลังจากโยก พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ออกจากตำแหน่ง ผบ.ตร.ข้ามฟากมาเป็นเลขาฯสมช.แทนนายถวิล
อย่างไรก็ตาม การยึดอำนาจในวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 นี้ ซึ่งมีผลมาจากการชุมนุมข้ามปีของมวลมหาประชาชนชนของกลุ่ม กปปส. ด้วยวลีอมตะของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จากการปิดประตูตีแมวที่“สโมสรทหารบก”ถนนวิภาวดีรังสิต ว่า“หากเป็นแบบนี้ ผมขอโทษด้วยนะที่ต้องยึดอำนาจ” เมื่อนายชัยเกษม นิติสิริ หัวหน้าตัวแทนฝ่ายรัฐบาลจากพรรคเพื่อไทย ยืนกรานต่อที่ประชุมว่า รัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่มีนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมตรีในเวลานั้นจะไม่ลาออก โดยยืนยันที่จะอยู่จนครบวาระในปี 2558 ท่ามกลางความขัดแย้งที่แหลมคมของประชาชนทั้งสองฝ่าย
บทเรียนในอดีตก็มีให้เห็นแล้ว แต่ สส.พรรคเพื่อไทยและนายใหญ่เจ้าของพรรคที่ชื่อ“ทักษิณ ชินวัตร”กลับไม่ยอมจดจำ ก็ตัวใครตัวมันแล้วกันนะครับท่านผู้ชม !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี