ปัจจุบันนี้ต้องถือว่าความขัดแย้งในประเทศไทยได้ขยายตัวไปอย่างกว้างขวางในหมู่ชนทุกหัวระแหง ทุกเพศ ทุกวัย และทุกสาขาอาชีพ และเป็นความขัดแย้งชนิดที่ไม่คำนึงถึงเหตุผลและความถูกต้องเป็นหลัก คำนึงกันแต่เพียงว่าเรื่องนี้เป็นประโยชน์กับใคร เป็นพวกของใคร
ถ้าเป็นเรื่องของพวกกูหรือเป็นเรื่องของกูแล้ว ไม่ว่าอะไรก็ถือว่าถูกต้อง แต่ถ้าไม่ใช่เรื่องของกูหรือพวกของกูก็จะถือว่าเป็นเรื่องผิดที่จะต้องต่อต้านขัดขวาง
สภาพเช่นนี้ได้กลายเป็นกระแสความขัดแย้งใหญ่ที่เกิดขึ้นทั่วไปในประเทศไทยของเรา เป็นความขัดแย้งใหญ่กระแสที่สามที่เกิดขึ้นต่อเนื่องจากครั้งที่สอง และถ้าหากแก้ไขไม่ได้หรือไม่แก้ไขให้ทันท่วงที ประเทศไทยของเราก็จะหลีกลี้หนีจากความล่มจมไม่ได้เป็นแน่แท้
ในประวัติศาสตร์ระยะใกล้ของประเทศไทยนั้นเคยมีความขัดแย้งใหญ่เกิดขึ้นมาแล้วสองครั้ง
ครั้งแรก เป็นความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยที่เกิดความขัดแย้งต่อสู้กันด้วยกำลังอาวุธตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม 2508 ซึ่งมีการต่อสู้กันด้วยอาวุธขยายตัวออกไปอย่างกว้างขวางถึง 47 จังหวัดในประเทศไทย โดยใช้กำลังอาวุธของกองทัพปลดแอกประชาชนแห่งประเทศไทยทำการต่อสู้กับกองทัพไทยของรัฐบาลไทยอย่างเอาจริงเอาจัง ทำให้ในแต่ละปีมีเจ้าหน้าที่เสียชีวิตจำนวนมากสูงสุดถึงปีละ 1,400 คน
การต่อสู้และความขัดแย้งได้ขยายตัวซึมซ่านเข้าไปในทุกแห่งหนแม้กระทั่งในรั้วมหาวิทยาลัยและสถาบันการศึกษาชั้นมัธยม แม้กระทั่งในส่วนราชการต่างๆ ส่อเค้าบานปลายขยายตัวไปชนิดเอาไม่หยุดฉุดไม่อยู่ ในขณะที่สถานการณ์ต่างประเทศและรอบประเทศก็เป็นสงครามระหว่างฝ่ายประชาธิปไตยกับฝ่ายคอมมิวนิสต์ทวีความรุนแรงโดยลำดับ
จนกระทั่ง พ.ศ. 2523 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงเห็นว่าสงครามไม่สามารถแก้ไขปัญหาความขัดแย้งและนำสันติภาพและสันติสุขกลับคืนสู่บ้านเมืองได้ จึงพระราชทานแนวพระราชดำริมายังรัฐบาลพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ให้หาทางใช้วิถีทางสันติในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งที่ลุกลามบานปลายนั้น
พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ได้มอบให้พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ดูแลรับผิดชอบเรื่องนี้ ในที่สุดก็มีการออกคำสั่งนโยบาย66/2523 ที่ใช้หลักสันติยุติปัญหาและความขัดแย้งทั้งหลาย เปิดโอกาสให้คู่ขัดแย้งทั้งหมดกลับเข้ามาอยู่ในร่มเงาของสังคม ภายใต้พระมหากษัตริย์และกฎหมายของบ้านเมืองเดียวกัน โดยไม่ถือผิดถือโทษอะไรต่อกันอีก ผลจากการนั้นจึงสามารถดับความขัดแย้งที่ต่อเนื่องมาถึง 18 ปี ได้สำเร็จ สงครามกลางเมืองสิ้นสุดลงโดยเด็ดขาดในปี พ.ศ. 2526 เป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของประชาชาติไทยที่ประจักษ์ต่อชาวโลกมาแล้ว และเป็นสิ่งพิสูจน์ว่าสันติภาพและสันติสุขนั้นคือยาวิเศษที่สามารถแก้ไขปัญหาความขัดแย้งและสงครามได้อย่างแท้จริง
บ้านเมืองสงบสุขร่มเย็นเรื่อยมาจนกระทั่งถึงปี พ.ศ. 2548 นายทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี โดยมีพรรคไทยรักไทยเป็นพรรคแกนนำรัฐบาล ก็ได้เกิดความขัดแย้งใหญ่ที่กว้างขวางที่สุดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง มีประชาชนลงถนนขับไล่รัฐบาลนับล้านคน และเกิดการต่อต้านคัดค้านรัฐบาลอย่างกว้างขวางในพื้นที่ต่างๆ ของประเทศไทยด้วย
ในที่สุดก็เกิดการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 นำไปสู่การร่างรัฐธรรมนูญและการเลือกตั้งใหม่ แต่ความขัดแย้งนั้นก็ไม่ได้ระงับดับไป เพราะพรรคที่เกิดจากการยุบพรรคไทยรักไทยยังได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งและสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้หลายครั้ง การต่อสู้ทางการเมืองและความขัดแย้งก็ยิ่งขยายตัวลุกลามไป จนกระทั่ง พ.ศ. 2557 ก็เกิดการชุมนุมใหญ่ของคนไทยหลายล้านคน ถือเป็นการชุมนุมเดินขบวนครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย
แต่รัฐบาลก็ไม่ได้ฟังเสียงของประชาชน ยังคงดึงดันเดินหน้าตามความปรารถนาของตนเองต่อไป ในที่สุดก็เกิดการรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 แต่ยังคงเกิดการต่อสู้ทางการเมืองภายในประเทศสืบต่อมา จนกระทั่งถึง พ.ศ. 2566 ก็มีการเลือกตั้งครั้งใหม่ เมื่อนับระยะเวลาตั้งแต่ พ.ศ. 2548ถึง พ.ศ. 2566 ก็เป็นระยะเวลา 18 ปีเช่นเดียวกับความขัดแย้งใหญ่รอบที่หนึ่ง
แต่ทว่าความขัดแย้งไม่ได้ยุติสิ้นสุดลงเหมือนเมื่อครั้งมีคำสั่งนโยบาย 66/2523 แต่ความขัดแย้งกลับขยายตัวและซึมลึกลึกซึ้งมากขึ้น เป็นความขัดแย้งระหว่างพวกหนึ่งซึ่งอ้างว่าเป็นผู้มีความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ และกล่าวหาว่าอีกพวกหนึ่งเป็นพวกที่ชังชาติชังเจ้าที่มุ่งล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ดังนั้นปัญหาความขัดแย้งทั้งหลายจึงมุ่งที่จะต่อสู้ทำลายล้างกันต่อไป ไม่คำนึงว่าเป็นคนชาติเดียวกัน เป็นพี่น้องร่วมชาติเดียวกัน เป็นลูกหลานพระเจ้าแผ่นดินพระองค์เดียวกัน จะต้องฟาดฟันกันให้บรรลัยไปในทุกชาติ ดังนั้นบรรดาข้อพิพาทหรือความขัดแย้งที่เป็นคดีไม่ว่าระดับใดๆ ก็ไม่ต้องการที่จะให้อภัยซึ่งกันและกัน ต้องการล้างผลาญกันให้ถึงที่สุด
กระทั่งยกเอาปัญหามาตรา 112 เป็นปัญหาชี้ขาดความเป็นความตายของบ้านเมืองที่แตะต้องไม่ได้ ถึงขั้นใครแตะต้องเรื่องนี้ก็อาจถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้บ่อนทำลายความมั่นคงของชาติและพระมหากษัตริย์ไปชนิดไม่ต้องผุดต้องเกิดกันอีกเลย
โดยที่ไม่เคยมีใครสนใจองค์พระประมุขของชาติเลยว่าพระองค์มีท่าทีเรื่องนี้อย่างไร แม้ทรงรับสั่งให้ได้ยินกันทั่วทั้งประเทศแล้วว่าพระองค์ไม่ประสงค์ที่จะให้เกิดความขัดแย้งภายในชาติ พระองค์ทรงรักพสกนิกรของพระองค์เสมอกัน แต่ก็หามีใครนำพาไม่ กลับอ้างอิงพระองค์เป็นเครื่องมือเพื่อทำลายฝ่ายที่เห็นต่างให้พินาศวายวอดไปในที่สุด
สภาพเช่นนี้จึงก่อให้เกิดความขัดแย้งที่ลึกซึ้งรุนแรงครั้งใหม่ที่ต่อเนื่องจากความขัดแย้งครั้งที่สองตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นมาซึ่งไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดยุติลงเมื่อใด หรือว่าจนกว่าประเทศไทยจะสิ้นชาติสิ้นแผ่นดินก็ได้
ดังนั้นจึงถึงเวลาแล้วที่คนไทยทั้งหลายจะได้ตั้งสติทบทวนรำลึกถึงพระปัญญาคุณและพระเมตตาคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ที่ทรงระงับดับความขัดแย้งโดยใช้วิธีสันติ ทำให้บ้านเมืองของเรากลับคืนสู่ความเป็นปกติสุขสืบมา
ดังนั้น เพื่อสานต่อพระเมตตาคุณดังกล่าว จึงถึงเวลาแล้วที่จะต้องรีบตรากฎหมายให้แก่ผู้ที่เกี่ยวข้องในความขัดแย้งทั้งหลายโดยไม่เลือกหน้า ใช้เมตตาธรรมและอภัยธรรมนำความสงบสุขกลับคืนบ้านเมืองครั้งใหม่ และในการนี้ก็จำเป็นอยู่ดีที่จะต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญให้รองรับกับการสร้างสันติสุขในบ้านเมืองสืบไป
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี