รัฐบาลเพื่อไทยที่เปรียบเหมือนเครื่องบินบรรทุกน้ำหนักเกินจากนโยบายหาเสียงเว่อร์วังอลังการจนหาลานบินลงจอดไม่ได้ จนกระทั่งเปลี่ยนเป็นกัปตันแพทองธาร ที่ทิ้งสัมภาระกล่องใหญ่ชื่อดิจิทัล วอลเล็ต จนหาที่ซอฟต์แลนดิ้งบนกลุ่มคนเปราะบางได้
ด้วยความหวาดกลัวว่ามีหลุมอากาศมากมายทำให้เครื่องบินไปต่อตกหลุมอากาศเป็นอันตรายจึงไม่แปลกใจที่กัปตันคนใหม่ หาที่พึ่งทางใจ ไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เอาฤกษ์เอาชัย ผู้สื่อข่าวรายงานว่า “นายกฯอิ๊งค์ ควงสามีและมารดา เข้าทำเนียบรัฐบาล ตั้งแต่ตี 4 ครึ่งพอตีห้าครึ่ง เริ่มสักการะพระพรหมบนตึกไทยคู่ฟ้าตามด้วยไหว้ศาลพระภูมิ และศาลตายาย กระทั่ง8 โมงครึ่ง เดินทางเข้ารัฐสภา แล้วสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำรัฐสภา พระสยามเทวาธิราช พระเสื้อเมืองพระทรงเมือง พระภูมิชัยมงคล ศาลตายาย และพระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 7 เพื่อความเป็นสิริมงคล ก่อนจะย่างก้าวเข้าห้องประชุมพระสุริยันขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์นายกรัฐมนตรี
ไม่ทราบว่าการไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในเช้ามืดวันนั้น นายกฯอิ๊งค์ ทำพิธีแก้อาเพศเกิดด้วยหรือไม่ เนื่องจากว่าในวันที่เธอแถลงนโยบายต่อสภาได้เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ในจังหวัดเชียงราย น้ำท่วมดินถล่ม ที่อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ฝังคนทั้งเก้าราย ที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย น้ำท่วมร้ายแรงที่สุดรอบ 80 ปี ที่หลายร้อยชีวิตติดบนหลังคาบ้านหรือในอาคารโดยปราศจากน้ำดื่มและอาหารบางคนเกาะคานหลังคานานกว่าสิบชั่วโมง
อุทกภัยที่โหมกระหน่ำเชียงราย น้ำท่วมดินถล่มที่เชียงใหม่กำลังขยายวงกว้างออกไปหลายจังหวัดในภาคอีสานจนหลายฝ่ายเกิดคำถามว่าเป็นอาเพศหรือไม่? ตระกูลชินวัตรเป็นนายกรัฐมนตรีทีไรเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ที่ไม่เคยมีมาก่อน สมัยทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี วันที่ 26 ธันวาคม 2547 เกิดสีนามิถล่มภูเก็ต พังงา และหลายจังหวัดในฝั่งอันดามัน เป็นเหตุให้คนตายในประเทศไทย 5,400 ศพ และได้รับบาดเจ็บกว่า 8,000 คน
ในสมัย น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นนายกรัฐมนตรีน้ำท่วมตั้งแต่ปลายเดือนกรกฎาคม 2554 จนเดือนพฤศจิกายน รวมทั้งสิ้น 65 จังหวัด ทั้งนี้ มีผู้เสียชีวิต657 ศพ สูญหาย 3 คน ราษฎรเดือดร้อน 4,039,459 ครัวเรือน
อุทกภัยที่เกิดขึ้นทางภาคเหนือและภาคอีสานวันที่ น.ส.แพทองธารปฏิบัติหน้าที่เป็นทางการ เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น มวลน้ำมหาศาลกำลังหลากอาจเป็นมหาอุทกภัยในภาคอีสานและคาดว่าอาจลงมาถึงภาคกลางในไม่กี่วันข้างหน้า ไม่อาจประเมินได้ว่า จะเกิดความเสียหายมากน้อยเพียงใด แน่นอนอุทกภัยเกิดจากธรรมชาติเหนือการควบคุมของมนุษย์ แต่มีคนไทยจำนวนมากที่มีความเชื่อเหนือวิทยาศาสตร์ สงสัยว่าเหตุใดมหาอุทกภัย จึงมักเกิดขึ้นในสมัยที่ตระกูลชินวัตรเป็นนายกฯ ฤาเป็นอาเพศดังที่อาม่าพูดว่า ฟิลิปปินส์มีไต้ฝุ่น ญี่ปุ่นแผ่นดินไหว อินโดนีเซีย มีภูเขาไฟ แต่ประเทศไทยมีนักการเมือง
สรุปว่าไม่อาจรู้ได้ว่านายกฯอิ๊งค์ ไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อแก้อาเพศด้วยหรือไม่ แต่ที่แน่ๆเธอได้แก้ปัญหาดิจิทัล วอลเล็ต ที่คาราคาซังมาตั้งแต่ครั้งที่เพื่อไทยประกาศตอนหาเสียงว่า จะแจกเงินดิจิทัลให้คนไทยที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป คนละ 10,000 บาท โดยคาดว่า คนไทยได้รับเงินดิจิทัลประมาณ 50 ล้านคน
รัฐบาลเพื่อไทยนำโดยนายเศรษฐา ทวีสิน เสียเวลาหนึ่งปีกับความพยายามนำนโยบายมาใช้ในทางปฏิบัติ แต่ติดปัญหาทางกฎหมายและไม่รู้จะหาเงินจากไหน มาตำเป็นน้ำพริกละลายในแม่น้ำ รัฐบาลเพื่อไทยสมัยนายเศรษฐาดื้อรั้นหัวชนฝา ไม่ฟังเสียงคัดค้านจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)ว่า ดิจิทัล วอลเล็ตทำให้เศรษฐกิจเสียหาย และผิดกฎหมายวินัยการเงินที่ธปท.แนะนำให้แจกเงินบาทไทยแก่กลุ่มเปราะบางเท่านั้น แต่พรรคเพื่อไทยยืนกรานดิจิทัล วอลเล็ต ทำได้
โดยการเปลี่ยนวิธีการหาเงินถึงห้าครั้ง จนกระทั่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้นายเศรษฐา ทวีสิน พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ดังนั้น เมื่อนายกฯแพทองธารแถลงนโยบายต่อสภาเธอจึงพูดว่า“ได้ฟังเสียงชาวบ้านผ่านสส.พรรคเพื่อไทยว่าไม่เอาแล้วเงินดิจิทัลเอา(ปราบ)ยาเสพติดก่อน”
หลังจากนั้นรัฐมนตรีกระทรวงการคลังแถลงต่อสภาว่า นโยบายดิจิทัล วอลเล็ต ต้องปรับมาตรการใหม่โดยการแจกเป็นเงินสด 10,000 บาท ให้แก่กลุ่มเปราะบาง คือ ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและผู้พิการรวมกันประมาณ 14.5 ล้านราย ภายในเดือนกันยายนนี้และเมื่อนักข่าวสอบถาม รมต.คลัง ว่าเฟสต่อไปอีกประมาณ 30 ล้านคน จะแจกเป็นอะไรเมื่อไหร่ รมต.คลัง ตอบว่า ยังมีเรื่องเศรษฐกิจสองสามอย่างที่สำคัญต้องพิจารณาว่าอะไรทำก่อนหลัง
จากคำพูดนายกฯและ รมต.คลัง อนุมานได้ว่า รัฐบาลพรรคเพื่อไทยใช้กลุ่มเปราะบางเป็นซอฟต์แลนดิ้ง โดยทำตามคำแนะนำของธปท.ให้แจกเงินสดแก่กลุ่มเปราะบางเท่านั้น เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยไม่ผิดกฎหมายวินัยการเงิน อย่างไรก็ตาม พรรคเพื่อไทยยังคงคำว่า#มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเอาไว้ เพื่อรักษาหน้าส่วนการแจกเงินรอบต่อไปที่มีผู้ลงทะเบียนไว้ประมาณ 30 ล้านคนนั้น ฟันธงไว้ล่วงหน้าว่า ไม่มีการแจกเงินตามนโยบายดิจิทัล วอลเล็ต มากไปกว่าที่แจกให้กลุ่มเปราะบาง เนื่องจากว่าเป็นนิสัยถาวรของเพื่อไทยที่ใช้นโยบายประชานิยมเป็นเครื่องเซ่นไหว้แก้บนเท่านั้น เหมือนกับที่ประกาศว่า จะลดราคาพลังงานก็ทำแก้บนเพียงไม่กี่วัน เช่นเดียวกันกับนโยบายรถคันแรกและแจกแท็บเลตนักเรียน ทุกนโยบายเพื่อไทยทำรอบแรกเพื่อแก้บน ส่วนรอบต่อๆไปก็มีข้อแก้ตัวไปตามสถานการณ์โดยไม่สานต่อโครงการ
ซอฟต์แลนดิ้งอีกอย่างของรัฐบาลเพื่อไทย คือ เปลี่ยนจากนโยบายเร่งด่วนสร้างรัฐธรรมนูญใหม่ เป็นเร่งรัดแก้ไขรัฐธรรมนูญบางมาตราไปพร้อมๆกับ การศึกษาสร้างรัฐธรรมนูญใหม่ โดยนายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ตอบคำถามฝ่ายค้านว่า ทำไมไม่มีนโยบายเร่งด่วนทำรัฐธรรมนูญใหม่ เหมือนรัฐบาลนายเศรษฐา นายชูศักดิ์ ตอบว่า รัฐบาลแพทองธารได้เขียนไว้สั้นๆ ว่า “เร่งรัดทำรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้นโดยเร็วที่สุด โดยยึดโยงกับประชาชนและหลักการประชาธิปไตย” จริงอยู่ที่ว่าไม่ได้ระบุเป็นนโยบายเร่งด่วน แต่ก็พอใจอยู่นิดหนึ่ง คือ ระบุไว้ว่า 1. เร่งรัด และ 2.โดยเร็วที่สุด เพื่อให้เกิดรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
“ขณะที่เรื่องรัฐธรรมนูญปี 2560 ต้องการให้มีฉบับใหม่และแก้ไขให้เป็นประชาธิปไตย พวกเรารับทราบกันดีว่าที่มาที่ไป รัฐธรรมนูญปี 2560 มาอย่างไร เป็นปัญหาอะไร ซึ่งเขาเรียกกันว่า รัฐธรรมนูญปราบโกง แต่เมื่อผมดูแล้ว ปราบโกงในที่นี้ ก็มีบทบัญญัติหลายมาตราที่เป็นปัญหา เพราะสามารถตีความได้เกินเลยไปจากความปกติธรรมดาที่ควรจะเป็น” นายชูศักดิ์ กล่าว
ด้วยว่ารัฐบาลเพื่อไทยเร่งรัดให้แก้รัฐธรรมนูญบางมาตราที่เป็นอุปสรรคต่อการบริหารงานรัฐบาล ส่วนกรณีที่ฝ่ายค้านได้พูดคุยกับตนเองว่า ระหว่างที่เรารอการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ จะเป็นไปได้ หรือไม่ว่าเราจะแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตรา ที่คิดว่ามีความจำเป็น เพื่อประโยชน์ต่อการบริหารราชการแผ่นดิน และไม่ให้เกิดปัญหาการตีความล้นเกิน ซึ่งตนก็เห็นด้วยว่าควรจะทำ
สรุปว่ารัฐบาลพรรคเพื่อไทยเร่งรัดให้แก้รัฐธรรมนูญบางมาตรา ที่บัญญัติห้ามมิให้ #บุคคลที่กระทำการอันไม่ซื่อสัตย์ สุจริตและมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงมีตำแหน่งทางการเมือง โดยนายชูศักดิ์ กล่าวว่า ตีความล้นเกิน “สุจริตเป็นที่ประจักษ์คืออะไร? นักการเมืองต้องบริสุทธิ์ผุดผ่องตั้งแต่เกิดฤา ผิดมาตรฐานทางจริยธรรม ต้องขุดคุ้ยมาร้องตั้งแต่การกระทำตอนอยู่วัยเจ็ดขวบหรือ?”
นายชูศักดิ์เป็นมือกฎหมายของพรรคเพื่อไทย คงมองว่า การที่ผู้ดำรงตำแหน่งทางเมืองทำตามบัญชาของนายใหญ่ ถือว่าเป็นผู้อยู่ในโอวาทเชื่อฟังผู้นำทางจิตวิญญาณ มิได้ผิดมาตรฐานจริยธรรมแต่อย่างใด ดังนั้น รัฐบาลพรรคเพื่อไทยต้องแก้รัฐธรรมนูญบางมาตราที่มีบทบัญญัติมาตรฐานจริยธรรม และซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์
จึงสรุปว่ากลุ่มเปราะบาง 14.5 ล้านคนกับแก้รัฐธรรมนูญในส่วนที่บัญญัติมาตรฐานจริยธรรมเป็นที่ซอฟต์แลนดิ้ง รองรับไม่ให้เครื่องบินกัปตันแพทองธาร กระแทกพื้นแตกกระจายตายทั้งลำ
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี