การทะเลาะเบาะแว้งมิใช่เป็นเรื่องที่มนุษย์ใฝ่หา หรือใช้เป็นหลักปฏิบัติต่อกันและกัน เพราะมนุษย์นั้นต้องอยู่ร่วมกัน จึงย่อมมีความปรารถนาใฝ่ฝันที่จะอยู่ร่วมกันอย่างราบรื่น และมั่นคง
บัดนี้ สังคมไทยเราก็มีปรากฏการณ์ของการยุติการเมืองแบบสงครามสี สงครามเลือกข้าง ที่แบ่งออกเป็นฝักเป็นฝ่าย เผชิญหน้าและต่อกรกัน โดยบรรดาพรรคการเมืองที่เคยเป็นคู่อริกัน ก็ต่างหันมาจับมือร่วมมือกัน ฝ่ายพรรคการเมืองที่เป็นไม้เบื่อไม้เมาฝักใฝ่กับฝ่ายกองทัพ จนถูกรัฐประหาร ก็ดูจะมีมิตรจิตดีต่อพรรคการเมืองที่มีอดีตนายทหารหัวหน้าคณะปฏิวัติเป็นผู้ก่อตั้ง ซึ่งได้กระโจนเข้าร่วมในรัฐบาลผสมที่พรรค
เพื่อไทยเป็นแกนนำอีกด้วย
โดยทั่วๆ ไปการเมืองแบบสี ก็น่าดูจะจางหายไป แต่ความมั่นอกมั่นใจว่า สังคมไทยได้มีการก้าวข้ามความขัดแย้งไปแล้วนั้น ก็ดูจะเป็นเรื่องลวงโลก โดยวันนี้ได้กลับกลายเป็นการขัดแย้งอย่างเปิดเผยระหว่าง “บ้านจันทร์ฯ กับบ้านป่า” อีกทั้งภายในบ้านป่าก็มีการแตกแยกภายใน รวมทั้งบ้านแม่พระธรณี ก็มีการแตกแยกแบบคาราคาซังอีกด้วย สะท้อนว่าการก้าวข้ามการเมืองแบบสีๆ นั้น ก็คงจะไม่มั่นคงเสียแล้ว นี่ยังไม่นับการออกมาวิพากษ์วิจารณ์ในเชิงลบของอดีตแกนนำเสื้อแดงต่อพฤติกรรมทั้งพรรคเพื่อไทยและขบวนการเสื้อแดงอีกต่างหาก
นอกจากนั้น ทางฝ่ายพรรคเพื่อไทยเองก็ยังไม่ยุติการวิพาษ์วิจารณ์ว่าฝ่ายกองทัพเป็นผู้ทำลายประชาธิปไตย และการรัฐประหารของฝ่ายกองทัพนำมาซึ่งความตกต่ำของเศรษฐกิจของประเทศจนถึงบัดนี้ ซึ่งถ้าจะปรองดองสมานฉันท์ แล้วก้าวข้ามความขัดแย้ง ความกินแหนงแคลงใจแต่อดีต เรื่องเหล่านี้มิควรจะได้เกิดขึ้นอีก ซึ่งถือเป็นการไม่ไว้หน้ากัน หยามกัน และยากที่จะลืมเลือน และอภัยให้กันได้
ถ้าจะมองให้ลึกลงไปอีกหน่อยก็หมายความว่า นายทักษิณ ชินวัตร ผู้ยิ่งใหญ่ใช้เรื่องการก้าวข้ามสีทางการเมืองเป็นแค่ทางผ่านเท่านั้น โดยจุดมุ่งหมายที่แท้จริงก็คือการครอบครองอำนาจทางการเมืองแต่ผู้เดียว ด้วยการทำลายคู่ต่อสู้ทางการเมือง การกลับเข้าไปแทรกแซงและครอบงำกองทัพ การขยายฐานทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะทางด้านพลังงาน และธุรกิจระดับชาติต่างๆ เพื่อให้เป็นใหญ่สุด และกลุ่มธุรกิจอื่นๆ จะต้องเข้ามาเป็นเครือข่าย เป็นพันธมิตร หรือถูกตีกรอบไม่ให้ใหญ่โตไปกว่านี้
ทั้งนี้ก็เพราะนายทักษิณ ยังเห็นว่าตัวตนเท่านั้นที่จะนำพาประเทศไทยได้ ไม่มีใครมีความสามารถเท่า ซึ่งนายทักษิณก็คงจะสามารถยึดและครอบครองชนชั้นปกครองทั้งภาคการเมือง ภาคธุรกิจ และภาคข้าราชการประจำได้ด้วยอำนาจ และบารมีที่กว้างขวางกว่าผู้ใดในแผ่นดินไทยนี้
แต่ทว่าจะเอาประชาชนพลเมืองมาอยู่ในกำมือได้หรือไม่ก็อีกเรื่องหนึ่ง เพราะประชาชนพลเมืองไทยเราชอบความเป็น “ไท” ชอบความเป็นอิสรเสรี ไม่ชอบการถูกบังคับกดขี่ข่มเหง และเป็นผู้รู้ผู้ตื่นทางการเมืองแล้ว ก็จะไม่ยอมที่จะสยบต่อเผด็จการองค์บุคคล หรือเผด็จการกลุ่มบุคคลใดๆ ทั้งสิ้น
นายทักษิณ ชินวัตร ยังมีโอกาสจะกลับตัว โดยใช้อำนาจบารมีที่มีเพื่อทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศชาติได้เช่นกัน ด้วยการเสริมสร้างสังคมที่สันติ รวมทั้งยุติการเสริมสร้างฐานอำนาจให้ฝั่งตนเองจากการทำลายระบบพรรคการเมือง
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี