ได้เตือนแล้วว่า เรื่องราวบนชั้น 14 รพ.ตำรวจ ของนายทักษิณ ชินวัตรในช่วงที่ต้องรับโทษจำคุก คดีทุจริตประพฤติมิชอบ
จะเป็นบ่วงกรรม ติดตัวผู้เกี่ยวข้องตลอดไป
ล่าสุด กรณีที่ ป.ป.ช.ดำเนินการตรวจสอบ ปรากฏความคืบหน้าน่าสนใจ
1. ล่าสุด พลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ เตมียเวส อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้เปิดเผยกับสถานีข่าวท็อปนิวส์
ยืนยัน เดินหน้าตรวจสอบเอาผิดกับผู้เกี่ยวข้องต่อไป
ไม่มีมวยล้มต้มคนดู
และยังบอกด้วยว่า ทางป.ป.ช.ได้เรียกตัวไปสอบสวนให้ปากคำรอบแรกเรียบร้อย
ขณะนี้ อยู่ระหว่างการรอว่าเขาจะเรียกไปเมื่อไหร่อีก
พลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ได้เปิดเผยว่า ให้การอะไรกับทาง ป.ป.ช. เมื่อวันที่ 19 กันยายนที่ผ่านมา
ระบุว่า
“ป.ป.ช.เขาเชิญผมไปสิครับ เพราะว่าเขามีหน้าที่รับผิดชอบในฐานะที่จะสอบสวนข้าราชการ นักการเมือง ที่ปฏิบัติผิดรัฐธรรมนูญ ผิดกฎหมาย ผิดจริยธรรม
ส่วนตัวผมเอง ก็มีหน้าที่รอให้เขาเชิญมา เมื่อไหร่ก็ไปเมื่อนั้น ซึ่งถ้าเขาไม่เชิญมันก็ผิดสังเกตเหมือนกันนะ
เวลาผมพูดเรื่องชั้น 14 ก็เป็นเรื่องที่สังคมให้ความสนใจหมดอยู่แล้ว ถ้าเกิดป.ป.ช. ยังไม่สนใจหรือไม่เชิญมันก็ใช้ไม่ได้แล้วล่ะ
...ถือว่าการทำงานของ ป.ป.ช. ไม่ล่าช้านะ กำลังพอดี เพราะว่าการรวบรวมพยานหลักฐาน ไม่ใช่ว่ามันจะเสร็จสิ้นโดยเร็วที่ไหน
เห็นข่าวว่า ข้อมูลจากราชทัณฑ์ จากตำรวจยังไม่ค่อยจะได้เลย
ก็รู้สึกแปลกใจนะที่ทาง ป.ป.ช. ขอภาพวงจรปิดที่โรงพยาบาลตำรวจ ก็ยังไม่ได้ แล้วทำไมเขาไม่ขอหมายเรียกจากศาล เพราะป.ป.ช. อาจจะน้ำหนักไม่พอ ต้องขอหมายเรียกจากศาล
ผมเล่าให้ป.ป.ช.ฟัง ตั้งแต่เรื่องที่รู้จักกับคุณทักษิณ เป็นพี่น้องกัน เป็นห่วงเป็นใย ก็ไปเยี่ยมที่ประเทศจีน 4-5 ครั้ง กลัวเค้าเหงาก็เลยไปเยี่ยม
ต่อมา ผมก็มาเล่นการเมือง ก็อยู่ฝ่ายค้านกับพรรคเพื่อไทย ตอนนั้นคุณประยุทธ์ จะให้ผมไปอยู่ด้วยให้เป็นรองนายกฯผมยังไม่เอาเลย
พอมาเลือกตั้งปี 2566 ก็สนับสนุนเขาอีก จนกระทั่งคุณเศรษฐา เป็นนายกรัฐมนตรี ผมก็ลาออกมา
สุดท้าย คุณทักษิณ ก็กลับไทย จะด้วยดีลลับหรืออะไรก็แล้วแต่
จากนั้น คุณทักษิณ ก็มาป่วย แล้วก็เข้าโรงพยาบาล
ผมต้องอธิบายให้เค้าฟังทั้งหมด เพราะผมรู้จักคุณทักษิณมา 51 ปี
ผมถึงขึ้นไปชั้น 14 ได้ นี่คือสิ่งที่ผมเล่าให้ป.ป.ช.ฟัง เพื่อทำให้เขาได้เชื่อมั่นว่าการรู้จักกันมายาวนาน มันทำให้ผมขึ้นไปเยี่ยมได้
นอกจากนี้ ผมก็รวบรวมเป็นระบบให้เขาเลยว่า คุณทักษิณกลับมาประเทศไทยเมื่อไหร่ ไปศาลฎีกาแล้วรับฟังคำสั่งศาล จากนั้นก็ไปเรือนจำ ในคืนเดียวกันก็ป่วยเลย แล้วก็มาเข้าโรงพยาบาลตำรวจ รักษาอยู่ที่ชั้น 14
ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจและกรมราชทัณฑ์ ก็ควรต้องส่งคนมาเฝ้าเวรยามด้วย ไม่ใช่ปล่อยไว้แบบนี้
กล้องวงจรปิดไม่มี ก็ต้องติด
หลังจากนั้น ผมก็เล่าว่าไปเยี่ยมวันไหน ซึ่งก็ไป 2 ครั้ง
จนกระทั่งคุณทักษิณ พ้นโทษ แล้วขอออกจากโรงพยาบาล ก็ไปควบคุมตัวไว้ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า ซึ่งเขากำหนดให้ที่นั่นเป็นสถานที่คุมตัว ก่อนจะพ้นโทษ
สุดท้าย ยังไม่ทันจะพ้นโทษเลย คุณเศรษฐา ก็โดนศาลรัฐธรรมนูญพิพากษา ให้พ้นจากนายกรัฐมนตรี
จากนั้น คุณทักษิณ ก็ไปเรียกประชุมทุกพรรคการเมือง ผมก็เลยเข้าไปประชุม เพื่อแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี คนใหม่
ซึ่งเรื่องนี้ถูกกฎหมายหรือเปล่า ผมก็อธิบายให้ป.ป.ช. ฟังทั้งหมด
จนกระทั่งเรียกคุณอุ๊งอิ๊งค์ กลับมาจากประเทศจีน มาประชุมกัน
จนวันรุ่งขึ้น ออกทีวีกัน ประโคมข่าวว่าพรรคร่วมรัฐบาลเสนอคุณอุ๊งอิ๊งค์เป็นนายกรัฐมนตรี
จากนั้น ก็เสนอโปรดเกล้าฯ
แล้วต่อมา ผมก็อธิบายรายละเอียดว่า ไปเยี่ยมทักษิณ 2 ครั้ง ไปเมื่อไหร่อย่างไร พบใครบ้าง
แต่ผมขอไม่ลงรายละเอียดให้ฟังนะ เพราะว่ามันอยู่ในสำนวน
การที่ผมให้การทั้งหมด เป็นเรื่องที่ผมพูดฝ่ายเดียว เพราะคณะกรรมการเป็นเด็ก ไม่รู้จะซักอะไรผม ถ้าคณะกรรมการเป็นผู้ใหญ่เขาก็อาจจะซักอะไรผมบ้างก็ได้
จากนั้น ผมก็ถามเขาว่า “น้องเคยไปชั้น 14 บ้างหรือยัง”
น้องเขาก็ตอบว่า ยัง
เราก็ถามอีกว่า “แล้วไม่ไปตรวจสถานที่เกิดเหตุเหรอ พนักงานสอบสวนมันต้องไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ ถึงจะได้รู้ และจะได้รู้ด้วยว่าที่ผมให้การทั้งหมดมันจริงหรือไม่จริง
พอถามว่า จะไปหรือเปล่า
เขาก็ตอบว่า ยังไม่ทราบค่ะ...
อ้าว แล้วอย่างนี้จะมาสอบสวนคดีสำคัญได้อย่างไร
ที่ผมพูดเรื่องนี้ ผมต้องเตือนป.ป.ช.ด้วย เรื่องนี้มันเรื่องสำคัญ คุณต้องให้ผู้ใหญ่ทำงาน
มันไม่ใช่มีเฉพาะผมปากเดียว มีปากอื่นๆ ด้วย
ควรให้ความสำคัญ แล้วเอาผู้ใหญ่มาทำงาน...”
2. ข้อมูลข้างต้น ที่อดีต ผบ.ตร.แย้มออกมานั้น น่าสนใจมาก
เท่ากับว่า ได้เข้าสู่กระบวนการสอบสวน และได้ให้ปากคำอย่างเป็นทางการต่อ ป.ป.ช.แล้ว
3. น่าสนใจว่า ข้อมูลของพลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ จะเจือสมกับข้อมูลตามรายงานของ กสม. ที่จัดส่งไปให้ ป.ป.ช.ก่อนหน้านี้อย่างไร
สอดคล้องไปในทางเดียวกันหรือไม่ อย่างไร?
เพราะในรายงานผลการตรวจสอบของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) กรณีนายทักษิณ ชินวัตร ได้รับสิทธิรักษาพยาบาลดีกว่าผู้ต้องขังรายอื่น
รายงานชี้ชัดว่า “ไม่อาจเชื่อได้ว่า นายทักษิณ ชินวัตร ป่วยจนต้องรักษาตัวนาน 181 วัน”
“..มีข้อสังเกตว่า หากนายทักษิณป่วยจนอยู่ในระดับวิกฤตตามที่ชี้แจงจริงก็ควรต้องได้รับการดูแลจากบุคลากรทางการแพทย์อย่างใกล้ชิดและพักในห้องสำหรับผู้ป่วยฉุกเฉิน แต่นายทักษิณกลับพักในห้องพิเศษซึ่งตามปกติมีไว้สำหรับผู้ป่วยที่พ้นจากภาวะวิกฤตและสามารถช่วยเหลือตัวเองได้บ้างแล้ว
...เป็นการดำเนินการโดยอาศัยช่องว่างของกฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ. 2563 ทำให้นายทักษิณได้รับประโยชน์นอกเหนือกว่าสิทธิที่ควรได้รับ ถือเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักความเสมอภาคและเป็นการเลือกปฏิบัติ อันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
...นอกจากนี้ ยังปรากฏข้อเท็จจริงอีกว่า เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2567 ซึ่งเป็นวันที่นายทักษิณสามารถออกจากการควบคุมของผู้ถูกร้องที่ 1 ตามโครงการพักการลงโทษกรณีมีเหตุพิเศษของกรมราชทัณฑ์ นายทักษิณสามารถเดินทางออกจากผู้ถูกร้องที่ 2 กลับบ้านพักส่วนตัวได้ในทันทีโดยไม่ต้องเข้ารับการรักษาตัวในสถานพยาบาลแห่งอื่นอีก รวมทั้งสามารถเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ และปฏิบัติภารกิจได้โดยไม่ปรากฏว่ามีอาการเจ็บป่วยรุนแรงอันผิดปกติวิสัยของผู้ป่วยที่มีภาวะวิกฤตจนถึงขั้นอาจเป็นอันตรายแก่ชีวิต หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีและต่อเนื่อง ซึ่งเป็นเหตุผลในการพักรักษาตัวกับผู้ถูกร้องที่ 2 มาโดยตลอด
ดังนั้น จากข้อเท็จจริงและเหตุผลที่กล่าวมาแล้วข้างต้น จึงยังมิอาจเชื่อได้ว่า นายทักษิณมีอาการป่วยจนถึงกับต้องรักษาตัวกับผู้ถูกร้องที่ 2 นานถึง 181 วัน โดยไม่สามารถออกไปรับการรักษาต่อที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์หรือกลับไปคุมขังต่อที่ผู้ถูกร้องที่ 1 ได้
ในชั้นนี้ จึงเห็นว่า การกระทำของผู้ถูกร้องทั้งสองเป็นการเลือกปฏิบัติต่อผู้ต้องขังด้วยเหตุความแตกต่างในเรื่องสถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม ซึ่งไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญฯ...”
4. ยิ่งไปกว่านั้น อย่าลืมว่า ในรายงานของ กสม. ตั้งข้อสงสัยด้วยซ้ำว่า อาจมีการกระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่
“...การกระทำของผู้ถูกร้องทั้งสองและผู้ที่เกี่ยวข้อง ยังเข้าข่ายเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่บุคคล อันอาจเป็นการกระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการหรือความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม ซึ่งอยู่ในหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) ด้วย ”
5. ประการสำคัญ ข้อมูลของพลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ ยังระบุด้วยว่า ป.ป.ช.ได้สอบสวนบุคคลอีกหลายคน
“มันไม่ใช่มีเฉพาะผมปากเดียว มีปากอื่นๆ ด้วย”
เพราะฉะนั้น บ่วงกรรมชั้น 14 มีจริง!
ยิ่งเหิมเกริม เหลิงลม หลงอำนาจ ยิ่งจะมาไว เพราะจะมีแรงสนับสนุนถาโถมจากสังคมมากขึ้นไปอีกด้วย!
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี