“เดอะอ้วน-ภูมิธรรม เวชยชัย”หรือ“สหายใหญ่”อดีตนักศึกษาที่เคยเข้าป่าจับปืนร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.)เพื่อโค่นล้มอำนาจรัฐไทยเมื่อในอดีต ซึ่งในวันนี้มีตำแหน่งใหญ่โตเป็นถึงรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
ปกติจะสุขุมนุ่มลึก ถามอะไรตอบได้ทุกเรื่อง มีเหตุและผลในแบบฉบับของผู้ที่เคยศึกษาเรียนรู้“ทฤษฎีมาร์กซิสต์-วัตถุนิยมวิภาษวิธี”มาแล้ว ตามแนวทางของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย
แต่เมื่อวันที่ 26กันยายนวานนี้ ปรากฏว่าหลุดชนิดที่สื่อพาดหัวข่าวว่า“ปรี๊ดแตก” เพราะถูกผู้สื่อข่าวรุมถามเรื่องการติดตามตัว พล.อ.พิศาล วัฒนวงษ์คีรี สส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย อดีตแม่ทัพภาคที่ 4 ซึ่งเป็น 1 ใน 7จำเลย“คดีตากใบ”มาดำเนินคดี
“สหายใหญ่”ซึ่งวันนี้ได้กลายมาเป็น“บิ๊กอ้วน” มีอำนาจควบคุมกองทัพไทยในฐานะเสนาบดีกระทรวงกลาโหมและกำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ตอบคำถามผู้สื่อข่าวแบบมีอารมณ์ว่า“เรื่องนี้พูดหลายครั้งแล้ว เป็นเรื่องส่วนบุคคลขณะนี้ไม่พบตัว อีกทั้งเป็นคดีที่เจ้าตัวต้องไปต่อสู้เพื่อยืนยันถึงความเป็นธรรม ไม่ทราบว่าแต่ละคนไปที่ไหน ก็ต้องเป็นความรับผิดชอบของแต่ละคน ซึ่งเหมือนกับทุกคดีที่ผ่านมา หากจำเลยหนี หน้าที่เราก็ต้องตามหาตัว ก็ทำได้แค่นั้น”
ผู้สื่อข่าวถามย้ำนายภูมิธรรม เวชยชัยในฐานะรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลเรื่องความมั่นคงของประเทศทั้งทหารและตำรวจ ว่า “พล.อ.พิศาล วัฒนวงษ์คีรี เป็น สส.ของพรรคเพื่อไทย จะไม่รู้ความเคลื่อนไหวของ สส.ได้อย่างไร ?”,“บิ๊กอ้วน”แหวกลับด้วยเสียงดุอย่างมีอารมณ์ว่า “แม้แต่เรื่องภายในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นพี่หรือน้องเวลาเดินทางไปไหน เขาก็ไม่ได้บอกเราแล้วเราจะไปทราบได้อย่างไร ความสัมพันธ์ไม่ได้ระบุว่าจะต้องทราบทั้งหมด ขอย้ำว่าเป็นเรื่องของบุคคลแต่ละคนต้องตัดสินใจของตัวเอง ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ขณะนี้รัฐบาลมีหลายเรื่อง ปัญหาน้ำท่วมหนักกว่า”
ฟังและเห็นอาการของ“สหายใหญ่”หรือ“บิ๊กอ้วน”แล้ว ถ้าพูดตามภาษาพระก็ต้องบอกว่า..เป็นธรรมดาของสัตว์โลก เมื่อแบกของหนักไว้มากๆ ก็ย่อมเกินกำลังที่จะแบกรับไว้ได้..เช่นเดียวกับนายภูมิธรรมเวชยชัย พอโดนถาม“จี้ใจ”ที่เป็นเรื่องหนัก และหมดหนทางหรือจนปัญญาที่จะตอบ ของก็เลยขึ้น จนเกิดอารมณ์หลุดให้เห็น
เมื่อครั้งที่นายภูมิธรรม เวชยชัย เป็นรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์สมัยรัฐบาลนายเศรษฐาทวีสิน แม้จะต้องทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงเสมือน“ผู้จัดการรัฐบาล”คอยแก้ปัญหาให้นายเศรษฐาพ่อค้าบ้านจัดสรรที่ถูกอดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร จับมาเป็นนายกรัฐมนตรี“หุ่นเชิด”ก็ตาม แต่ก็ยังไม่หนักเท่ากับเป็นพี่เลี้ยงให้“คุณหนูอุ๊งอิ๊งค์”ลูกสาวไข่ในหินที่เป็นดีเอ็นเอของ“นายใหญ่-นายหญิง”แห่งบ้านจันทร์ส่องหล้าคนนี้
เพราะระหว่าง“คุณหนูอุ๊งอิ๊ง” หรือ“มาดามแพ” เมื่อเทียบกับนายเศรษฐา ทวีสิน แล้ว นายเศรษฐานั้นลำพังตัวคนเดียวก็ยังพอเอาตัวรอดแบบนักมวยรูปร่าง“สูงยาว-เข่าดี” ตีกรรเชียงหนีวิ่งวนรอบเวทีได้ พอระฆังหมดยกพี่เลี้ยงก็ให้น้ำ-นวดเฟ้นและช่วยวางแผนแก้เกมแล้วกลับขึ้นไปชกต่อบนเวที เรียกว่ายังพอประคองตัวจนชกครบยกได้
แต่สำหรับนายกรัฐมนตรีอย่าง“คุณหนูอุ๊งอิ๊งค์” ที่ทั้งชีวิตไม่เคยทำอะไรมาก่อน และไม่รู้เรื่องการบริหารราชการแผ่นดิน โดยเฉพาะด้านกฎหมายและด้านเศรษฐศาสตร์ เมื่อมาเป็นนายกรัฐมนตรี..ก็เป็นธรรมดาที่พี่เลี้ยงอย่าง“สหายใหญ่”ต้องเหนื่อยหนักเพิ่มขึ้นอีกเป็นเท่าทวีคูณ เพราะเหมือนกับต้องจับคุณหนูเธอกระเตงเข้าสะเอวขึ้นไปชกบนเวทีแทนทุกยก เมื่อยืนระยะนานเข้าก็เลยออกอาการ“ปรี๊ดแตก” แต่ก็ยังดีที่ไม่ใช่อาการ“แต๋วแตก”
ถ้าจะว่าไปแล้ว พล.อ.พิศาล วัฒนวงษ์คีรี ไม่เพียงแต่เป็นแค่สส.ของพรรคเพื่อไทยเท่านั้น แต่ปูมหลังของ“นักการทหาร-นักการเมือง”ผู้นี้ ภาษาเหนือเรียกว่า“เป็นคนเมือง”..เป็นคนจังหวัดเชียงใหม่และเป็นเพื่อนของอดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งในอดีตตอนที่ได้รับแต่งตั้งเป็นแม่ทัพภาคที่ 4ในปี 2547 ก็เพราะทักษิณซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีในเวลานั้นเป็นคน“จัดให้”
และวันที่เกิด“กรณีตากใบ”หน้าสถานีตำรวจภูธรอำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม2547 อันเป็นเหตุให้คนไทยมุสลิมเสียชีวิตรวมทั้งหมด 85ศพ โดย“ตายทั้งเป็น”จากการขาดอากาศหายใจระหว่างควบคุมตัวบนรถบรรทุกทหาร 78 ศพนั้น ทั้ง“ทักษิณ ชินวัตร” และ พล.อ.พิศาล วัฒนวงษ์คีรีก็อยู่ด้วยกันที่จังหวัดนราธิวาส และรับรู้เหตุการณ์ตลอด..โดยข้อมูลนี้สามารถค้นข่าวย้อนหลังเมื่อ 20ปีที่แล้วดูได้
สำหรับ“คดีตากใบ”นี้ ศาลจังหวัดนราธิวาสได้มีคำสั่งประทับรับฟ้องเมื่อวันที่ 23สิงหาคมที่ผ่านมา มีจำเลยทั้งหมด 7 คน คือ พล.อ.พิศาล วัฒนวงษ์คีรี, พล.อ.เฉลิมชัย วิรุฬห์เพชรอดีตผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 5, พล.ต.อ.วงกต มณีรินทร์ อดีตผอ.ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติส่วนหน้า, พล.ต.ท.มาโนช ไกรวงศ์อดีตผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9, พล.ต.ต.ศักดิ์สมหมาย พุทธกุล อดีตผู้กำกับสภ.อ.ตากใบ, นายศิวะแสงมณี อดีตรองผอ.กองอำนวยการเสริมสร้างสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้และอดีตรองปลัดกระทรวงมหาดไทย และนายวิชม ทองสงค์ อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส
ทั้งนี้ หลังจากศาลจังหวัดนราธิวาสประทับรับฟ้องจำเลยทั้ง 7 คนในข้อหา “ร่วมกันฆ่าผู้อื่น,ร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น, ร่วมกันทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงเเก่ความตายและหน่วงเหนี่ยวกักขังเป็นเหตุให้ถึงเเก่ความตาย” โดยญาติของผู้เสียชีวิตเป็นโจทก์ยื่นฟ้องแล้ว ในวันที่ 13 กันยายน 2567 ศาลจังหวัดนราธิวาสได้นัดจำเลยทั้ง 7 คน มาสอบคำให้การ แต่ปรากฏว่าจำเลยทั้งหมดไม่ได้มาตามนัด และไม่ได้แจ้งเหตุอันควรในการเลื่อนศาล
ศาลจึงออกหมายจับจำเลย 6 คน คือ พล.อ.เฉลิมชัย วิรุฬห์เพชร, พล.ต.อ.วงกต มณีรินทร์,พล.ต.ท.มาโนช ไกรวงศ์, พล.ต.ต.ศักดิ์สมหมาย พุทธกุล, นายศิวะ แสงมณี และนายวิชม ทองสงค์
ส่วน พล.อ.พิศาล วัฒนวงษ์คีรี ที่เป็น 1 ใน 7 จำเลย ศาลไม่สามารถออกหมายจับหรือจับกุมตัวได้เพราะในฐานะที่เป็น สส. จึงได้รับความคุ้มกันหรือคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญมาตรา 125ระหว่างสมัยการประชุมสภาฯ แต่ศาลจังหวัดนราธิวาสก็ได้มีหนังสือด่วนที่สุดไปยังประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อขออนุญาตจับกุมและมีหมายเรียก รวมทั้งขอให้จำเลยแถลงต่อสภาผู้แทนฯ เพื่อสละความคุ้มกันและมาศาลในวันที่ 15 ตุลาคมเดือนหน้า
บรรทัดนี้ต้องฝากเป็นการบ้านสำหรับ“สหายใหญ่”ผู้เคยผ่านสนามรบในป่าเขาร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์มาแล้ว และเป็นพี่เลี้ยงเสมือน“จัดตั้งใหญ่”ของคุณหนูนายกรัฐมนตรี ว่าเรื่องสตินั้นสำคัญ ต้องยึดไว้ให้มั่น ใม่ควรใช้“จินตนาการ”จนทำให้เกิดอารมณ์
ขืนเกิดอารมณ์ออกอาการหลุดบ่อยๆ ประเภท“ปรี๊ดแตกแหกวงสื่อ” หลักที่คอยค้ำยันรัฐบาลจะกลายเป็น“ไม้หลักปักขี้เลน”ไปด้วย !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี