การเมืองเป็นเรื่องของภาพลวงตา นอกเหนือจากเรื่องอำนาจและผลประโยชน์ ในสายตาของคนที่เข้าใจพฤติกรรมการเมืองอย่างแท้จริงและลึกซึ้งของเหล่าบรรดานักสร้างภาพทางการเมืองภาพลวงตาทางการเมืองคือภาพที่นักการเมืองทุกคนทุกชนิด พยายามสร้างขึ้นมาเพื่อลวงโลก เพื่อหวังตบตาคนที่ไม่เข้าใจการเมืองอย่างถ่องแท้ รวมถึงคนที่หิวและตะกละต้องการได้ผลประโยชน์แบบฉาบฉวยทางการเมือง
ต้องบอกว่านักการเมืองทุกคนบนโลกใบนี้ มีความเก่งฉกาจในการสร้างภาพลวงตาทางการเมือง โดยเฉพาะนักการเมืองจำพวกประชานิยม แต่ขณะเดียวกันก็ต้องจับตามองนักการเมืองหน้าใหม่ที่ชอบอ้างว่าต้องการเปลี่ยนแปลงสังคม ต้องการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ต้องการปฏิรูประบบราชการไทย
หากประชาชนมีความสำเหนียกมากสักหน่อยจะเข้าใจดีว่า นักการเมืองคือตัวละครตัวหนึ่งในสังคม แต่ทว่าเป็นตัวละครที่ชอบแสวงหาผลประโยชน์ให้ตัวเอง มากกว่าสร้างสรรค์ผลประโยชน์ให้สังคม สิ่งที่นักการเมืองใช้โฆษณาชวนเชื่อเพื่อตบตาคนที่ไม่เท่าทันก็คือ หากเขาได้เป็นรัฐบาลแล้ว เขาจะทำให้ประเทศเจริญ ทำให้ประชาชนมีความสุข ทำให้เศรษฐกิจดี ทำให้ปัญหาต่างๆหมดสิ้นไป แล้วจะทำให้ประเทศกลายเป็นดินแดนที่แสนสุขสมบูรณ์ของประชาชน ดังนั้น เราจึงพบเห็นตลอดเวลาว่า นักการเมืองมักอ้างว่าหากเขาได้เป็นรัฐบาลแล้ว เขาจะดลบันดาล เสกสรรค์ให้สังคมดีงามมากขึ้นกว่าเดิมและจะขจัดสารพัดปัญหาในสังคมให้สูญสลายหายไป แต่คำโกหกคำโตที่นักการเมืองใช้ตลอดเวลาคือ จะทำให้ผู้คนมีความอยู่ดีกินดี มีเงินใช้จ่าย ดังนั้น จึงพบว่านักการเมืองก็เลยใช้การหว่านแจกเงินให้กับประชาชน โดยอ้างว่าเพื่อให้ประชาชนมีเงินใช้โดยพลัน แล้วจะทำให้วงล้อเศรษฐกิจหมุนไปรวดเร็วดุจดั่งพายุหมุนที่ทรงพลานุภาพ แต่ท้ายที่สุดแล้ว มันเป็นเพียงลมเบาๆ พัดผ่าน แต่ต้องตามมาด้วยหนี้สินจำนวนมหาศาลที่ทุกคนต้องร่วมกันชดใช้
แต่ทั้งหมดนั้นเป็นเพียงคำลวงโลก เป็นเรื่องโกหก แต่ทว่าประชาชนจำนวนไม่น้อยก็ยังหลงเชื่อ ทั้งๆ ที่เห็นอยู่ชัดๆ ว่า มันคือคำโกหก แต่ประชาชนจำนวนไม่น้อยก็ไม่คิดอะไรมาก เพราะคิดแค่เพียงให้ได้เศษเงินมาเลี้ยงกระเพาะตัวเองเท่านั้น แต่ประชาชนกลับไม่เคยคิดถึงภาระ และปัญหาต่างๆ ที่จะติดตามมาในอนาคต เมื่อประชาชนหลงเชื่อง่าย ถูกหลอกง่าย ประชาชนก็คือเหยื่อของนักการเมือง และจะตกเป็นเหยื่อตลอดไปจนกว่าจะมีสติปัญญารู้เท่าทัน หรือมิฉะนั้นก็ต้องล้มหายตายจากไป
ทุกครั้งเมื่อมีการเลือกตั้ง ก็เปรียบประดุจเทศกาลโกหกระดับชาติ เป็นโกหกที่มีกฎหมายรองรับว่า คำโกหกมดเท็จสารพัดสารพันจากปากนักการเมือง เป็นเรื่องที่สามารถปล่อยให้เกิดขึ้นได้ในสังคม ทั้งๆ ที่คำโกหกนั้นไม่มีวันถูกทำให้เกิดเป็นความจริงได้ แต่สังคมก็ปล่อยให้นักการเมืองโกหกได้โดยอิสระเสรี เช่น โกหกเรื่องจำนำข้าวทุกเมล็ด โกหกเรื่องค่าแรงขั้นต่ำ โกหกเรื่องเงินแจกให้คนชรา และโกหกอีกสารพัดเรื่อง
ถามว่าทำไมนักการเมืองต้องโกหก ตอบว่า เพราะนักการเมืองเห็นมาโดยตลอดว่าโกหกแล้วไม่ถูกลงโทษ จึงยังคงโกหกไปเรื่อยๆ แต่ที่สำคัญคือโกหกแล้วประชาชนจำนวนไม่น้อยชื่นชอบ เมื่อนักการเมืองจับทางได้ว่าทุกครั้งที่เขาพูดโกหก ประชาชนจำนวนไม่น้อยจะเกิดอาการตาโตเป็นประกาย แล้วไม่เคยตั้งคำถามโต้แย้งคำโกหกของนักการเมืองแม้แต่น้อย
คนไทยจำนวนไม่น้อยอ้างแก้เกี้ยวว่า ตนเองรู้ทันคำโกหกของนักการเมือง และรู้ทันภาพลวงตาที่นักการเมืองสร้างขึ้น แต่ก็ยังคงเฝ้าหวังคอยว่านักการเมืองจะสามารถทำเรื่องโกหกบางเรื่องให้เป็นจริงได้ โดยเฉพาะเรื่องแจกเงิน ดังที่เราทุกคนได้ประจักษ์ชัดแล้วว่า คนไทยจำนวนไม่น้อยรู้ดีว่าถูกพรรคเพื่อไทยหลอกเรื่อง digital wallet แต่ถึงแม้ประชาชนที่ต้องการเงินแจกจะไม่ได้ digital wallet แต่เมื่อประชาชนบางกลุ่มได้เงินสด 1 หมื่นบาท ก็ลืมเรื่อง digital wallet ไปโดยปริยาย ในขณะที่พรรคเพื่อไทยก็ยังคงโกหกต่อไปว่าจะแจก digital wallet ในวันข้างหน้า
อันที่จริง หากประชาชนจะรู้เท่าทันพรรคเพื่อไทยก็จำเป็นต้องถามกลับโดยทันทีว่า ก็ในเมื่อพรรคเพื่อไทยพูดพล่ามมาโดยตลอดว่าจะแจก digital wallet แล้วทำไมจึงกลายเป็นแจกเงินสด แล้วเมื่อแจกเงินสดไปแล้ว ทำไมจะต้องอ้างว่าจะกลับไปแจก digital wallet ในอนาคต เพราะหากแจก digital wallet ได้จริง แล้วทำไมจึงไม่แจก ทำไมต้องแจกเงินสด
แต่ทว่าประชาชนที่ต้องการเงิน กลับไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ไม่สนใจว่าเงินจะอยู่ในรูปแบบใด จะเป็นเงินสด หรือเงิน digital wallet ก็ไม่สนใจ เมื่อเขาไม่สนใจอะไรอีกต่อไป เพราะคิดว่าได้เงินแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องถามคำถามอื่นๆ และไม่ถามแม้กระทั่งเรื่องการหาเสียงของพรรคเพื่อไทยในประเด็น digital wallet ว่าเป็นเรื่องโกหก ใช่หรือไม่
ความไม่ใส่ใจในคำโกหกของนักการเมืองทำให้ประชาชนไทยถูกนักการเมืองโกหกซ้ำแล้วซ้ำอีก จนกลายเป็นความชาชิน จนไม่รู้สึกรู้สมใดๆ กับความจำเป็นต้องแสวงหาความจริงจากนักการเมือง เมื่อประชาชนเห็นว่าไม่จำเป็นต้องเสาะหาความจริง ก็จึงทำให้ประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีชื่อ แพทองธาร ชินวัตร
ถามว่าประชาชนไม่รู้หรือว่าแพทองธารไม่มีประสบการณ์การเมืองแม้แต่น้อย ไม่เคยเป็น สส. และไม่เคยเป็นรัฐมนตรีมาก่อน ไม่เคยรู้เรื่องราวของระบบการเมืองไทย และระบบราชการไทย แต่ประชาชนกลับปล่อยให้แพทองธารขึ้นไปเป็นนายกรัฐมนตรีของไทย
หากจะถามว่า ถ้าพ่อ แม่ หรือลูกของประชาชนป่วยหนักขั้นวิกฤต ต้องผ่าตัดสมอง หรือผ่าตัดหัวใจ ประชาชนจะยอมให้หมอจบใหม่ที่ไร้ประสบการณ์จริงในการผ่าตัดรักษาโรคดังกล่าว ผ่าตัดสมองหรือผ่าตัดหัวใจของพ่อแม่ หรือลูกของประชาชน หรือไม่
แล้วเหตุใดประชาชนจึงยอมให้แพทองธาร ซึ่งทุกคนรู้ดีว่าไร้ประสบการณ์การเมือง ไร้ความรู้ความสามารถทางการเมือง ขึ้นไปเป็นนายกรัฐมนตรี หรือประชาชนยินยอมเพราะเห็นว่าแพทองธารเป็นลูกของทักษิณ ชินวัตร หากประชาชนยินยอมด้วยเหตุผลที่ว่าแพทองธารเป็นลูกทักษิณ ก็เท่ากับว่าประชาชนยินยอมให้นายกรัฐมนตรีไทยมีสถานภาพเป็นหุ่นกระบอก ซึ่งการยอมเช่นนี้ ก็เท่ากับว่าประชาชนเองก็มีสถานภาพเป็นสิ่งไร้ค่าทางการเมือง เป็นเพียงตัวหมากที่ไร้ความสำคัญบนกระดานการเมืองไทย
นอกจากประชาชนยินยอมให้ประเทศมีนายกรัฐมนตรีหุ่นกระบอกแล้ว ยังยินยอมให้มีสมาชิกวุฒิสภาหุ่นเชิดของนักการเมืองอีกด้วย ทั้งๆ ที่โดยหลักการนั้น สมาชิกวุฒิสภาต้องทำหน้าที่ถ่วงดุลและตรวจสอบนักการเมืองในสภาผู้แทนราษฎร แต่นี่กลับกลายเป็นว่า สว. จำนวนไม่น้อยของไทยคือ คนที่ถูกพรรคการภูมิใจไทยส่งเข้าไป แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น มิได้หมายความว่าพรรคก้าวไกล หรือปัจจุบันคือพรรคประชาชน และพรรคเพื่อไทย ไม่พยายามส่งคนของพรรคเข้าไป แต่เพียงสู้พรรคภูมิใจไทยไม่ได้ ก็จึงปราชัยในเกมชิงตำแหน่ง สว.
วันนี้เราทุกคนเห็นชัดแล้วว่าภาพลวงตาทางการเมืองได้บังเกิดขึ้น เราได้เห็นนักการเมืองที่เคยขับไล่ทักษิณ และยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สามารถจับมือร่วมเวทีแห่งอำนาจรัฐกับรัฐบาลที่มีสายโยงใยกับทักษิณ และยิ่งลักษณ์ได้
นอกจากนี้เราได้เห็นแล้วว่า ผู้ก่อรัฐประหารก็ยังจับมือกับนักการเมืองที่ถูกตนเองทำรัฐประหารได้ โดยผ่าน secret deal หรือข้อตกลงลับ
เพราะฉะนั้น จึงกล่าวได้ว่าสังคมไทยเต็มไปด้วยภาพลวงตา แต่เต็มไปด้วยคำโกหกจากปากนักการเมือง และจากปากคนทำรัฐประหาร เพราะประชาชนที่รู้เท่าทันได้ประจักษ์ชัดแล้วว่า ในท้ายที่สุดแล้วประชาชนบางกลุ่มก็เกิดอาการตาสว่าง ก้าวข้ามความโง่เขลาไปได้เพราะพบว่ารัฐบาล นักการเมือง นักรัฐประหารไม่สามารถทำตามสัญญาได้แม้แต่ข้อเดียว
คนไทยมีบทเรียนที่กล่าวมาในข้างต้นมากมาย แต่มันคงเป็นบทเรียนที่ไม่สามารถทำให้ประชาชนทุกคนได้เรียนรู้ และทำความเข้าใจกับมันได้อย่างลึกซึ้ง เพราะฉะนั้น ประชาชนไทยจึงยังตกเป็นเหยื่อของนักการเมือง และนักรัฐประหารเรื่อยๆ ไป
มีประโยคภาษาอังกฤษบอกว่า Today, when people lose their jobs, they can get some money from the government. Today, families who do not have enough money for food can get money from the government. Today, families who cannot afford to pay their rent can get help from the government. Government is the solution to every social need.
ผู้เขียนมั่นใจว่าไม่จำเป็นต้องแปลข้อความข้างบนเป็นภาษาไทย เพราะผู้อ่านสามารถแปลได้ดี แต่สิ่งที่จะบอกก่อนลากันในวันนี้คือ หากเราทุกคนเชื่อเช่นนั้นจริงๆ ก็หมายความเราทุกคนคือ เหยื่อของนักการเมือง
เราถูกนักการเมืองชื่อ ทักษิณ ชินวัตร โกหกว่า “ผมรวยแล้วไม่โกง” แต่สุดท้ายเป็นอย่างไรเล่า และเราก็ได้รู้แล้วว่าต่อให้มีรัฐประหารอีกกี่ร้อยครั้ง บ้านเมืองของเราก็ยังคงมีนักการเมืองโกงบ้านกินเมืองต่อไป
ทุกวันนี้คนไทยจำนวนไม่น้อยเชื่อโดยไร้คำถามว่า ภาพลวงตาคือความจริง เราทุกคนจึงอยู่กับภาพลวงตาได้โดยไม่ตะขิดตะขวงใจ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี