ปัจจุบันนี้ในแวดวงโซเชียลมีเดียของประเทศไทย ไม่มีเรื่องใดที่ถือได้ว่าเป็นเรื่องร้อนหรือ hot issue เท่ากับเรื่องราวของนายกรัฐมนตรีอุ๊งอิ๊งค์อีกแล้ว ที่เรียกว่าเรื่องร้อนนั้นไม่ได้หมายความว่าเป็นเรื่องด่วน แต่เป็นเรื่องร้อนจริงๆ คือเป็นความร้อนดุจดังไฟแห่งอารมณ์ของประชาชนที่กำลังถาโถมเข้าใส่นายกรัฐมนตรีอุ๊งอิ๊งค์อย่างหนักหน่วงรุนแรง
และต้องถือว่าในบรรดานายกรัฐมนตรีของประเทศไทยทั้ง 31 คนที่ผ่านมา ไม่มีนายกรัฐมนตรีคนใดถูกกระหน่ำซ้ำตีอย่างกว้างขวางหนักหน่วงรุนแรงเหมือนกับนายกรัฐมนตรี อุ๊งอิ๊งค์เลย
ความจริงนายกรัฐมนตรีอุ๊งอิ๊งค์ยังมีอายุน้อยและไม่มีประสบการณ์ในการบริหารบ้านเมืองเลย แต่อีกด้านหนึ่งก็ไม่เคยสร้างความเสียหายให้กับบ้านเมืองใดๆ มาก่อน หาควรที่จะถูกกระหน่ำซ้ำตีอย่างหนักหน่วงรุนแรงกว้างขวางแต่ประการใด แล้วไฉนเล่าสภาพเช่นนี้จึงบังเกิดขึ้นจนเป็นที่น่าเวทนานัก
นั่นก็เป็นเพราะผลจากความขัดแย้งทางการเมืองที่สะสมและสั่งสมมาตลอดช่วงเวลา 18 ปี คือตั้งแต่ พ.ศ. 2548 จนถึงปัจจุบันนี้ ได้ก่อให้เกิดมวลแห่งความไม่พอใจหรือความเกลียดชังสั่งสมในปริมาณที่มากยิ่งกว่ามวลน้ำที่ไหลทะลักเข้าท่วมบ้านท่วมเมืองในปัจจุบันนี้อีก
ซึ่งไม่ควรเป็นเช่นนั้นเลยแต่ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นเล่า
ความจริงนายกรัฐมนตรีอุ๊งอิ๊งค์ไม่ใช่คู่กรณีของความขัดแย้ง และเติบโตไม่ทันบรรยากาศของความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเมื่อ 18 ปีก่อนด้วยซ้ำไป แต่ต้องมารับวิบากกรรมสั่งสมของความขัดแย้งนั้นอย่างน่าอเนจอนาถ และโดยไม่ใช่ความผิดของตัวเองเลย
ใน 18 ปีที่ผ่านมา เป็นความขัดแย้งระหว่างคนกลุ่มใหญ่หลายล้านคนกับสิ่งที่เรียกว่าระบอบทักษิณ ซึ่งมีปลายหอกคมดาบอยู่ที่นายทักษิณ ชินวัตร ดังนั้นเมื่อนายทักษิณ ชินวัตร กลับมาและมีส่วนเข้าเกี่ยวข้องกับการตั้งรัฐบาลพรรคเพื่อไทยในครั้งนี้ วิบากกรรมทั้งหลายที่ติดตัวมาก็ติดตามไปยังนายกรัฐมนตรีอุ๊งอิ๊งค์ด้วย
ดังนั้นถ้านายทักษิณ ชินวัตร ยิ่งแสดงฐานะและบทบาทมากเท่าใด ความไม่พอใจ ความเกลียดชัง และความขัดแย้งที่เคยมีต่อนายทักษิณ ชินวัตร มากเท่าใด
ก็จะไหลทะลักเข้าท่วมทับนายกรัฐมนตรีอุ๊งอิ๊งค์มากเท่านั้น ซึ่งจะว่าใครผิดใครถูกก็ย่อมยากที่จะจำแนกแยกแยะ แต่นี่ก็เป็นธรรมดาที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองของเรา
ความจริงนายกรัฐมนตรีอุ๊งอิ๊งค์มีความเป็นตัวของตัวเองสูง มีความเฉลียวฉลาด และมีความเชื่อมั่นในตัวเอง ไม่ได้อยู่ในถ้อยคำของพ่อแม่เหมือนเด็กอ่อนดังที่หลายคนเข้าใจอยู่ ดังนั้นการใดที่นายกรัฐมนตรีอุ๊งอิ๊งค์มั่นใจว่าตัวเองคิดถูกทำถูกแล้วก็จะยืนยันอยู่ในสิ่งนั้น จะไม่ยอมทำตามความเห็นของพ่อแม่ มีแต่พ่อแม่ที่รักลูกจะต้องคล้อยตามสิ่งที่ลูกเชื่อมั่นว่าถูกต้อง แต่นี่เป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่มีสักกี่คนจะเข้าใจและเห็นใจ
และเป็นธรรมดาของพ่อแม่ที่รักห่วงลูกยิ่งดวงใจ ดังนั้นบรรดาแรงกดดันหรือการกระหน่ำซ้ำเติมทั้งหลายที่ถาโถมเข้าใส่นายกรัฐมนตรีอุ๊งอิ๊งค์นั้น จึงเป็นความทุกข์ใหญ่หลวงของผู้เป็นพ่อเป็นแม่ และดูเหมือนว่าได้ก่อตัวเป็นความวิตกห่วงใยที่ละเอียดอ่อนมาก ดังนั้นทุกหนแห่งหรือทุกย่างก้าวของนายกรัฐมนตรีอุ๊งอิ๊งค์จึงถูกกำหนดให้ต้องมีพี่เลี้ยงกระหนาบซ้ายขวาหน้าหลังเป็นขบวนทัพใหญ่
อย่าคิดว่าการจัดกระบวนอย่างนี้จะมีความปลอดโปร่งโล่งใจหรือปลอดจากความขัดอกขัดใจของพวกที่ไม่เห็นด้วย กลับจะเป็นสิ่งยั่วยุให้มีการต่อต้านหนักหนาขึ้น
คนไทยเรานั้นมีอัธยาศัยที่ไม่ปกติอยู่สองอย่าง คือความหมั่นไส้และความสงสาร ถ้าเมื่อใดเกิดความหมั่นไส้ขึ้นแล้ว ถึงแม้ไม่รู้จักมักคุ้นกันมาแต่ก่อน หรือแม้ไม่ได้กระทำความเสียหายใดๆ ก็พาลจงเกลียดจงชัง อย่างน้อยก็นินทาว่าร้าย อย่างมากก็ก่นด่าประจานให้เสียหาย นี่เป็นความโน้มเอียงที่ไม่ปกติที่ต้องทำความเข้าใจให้จงดี
อีกอย่างหนึ่งคือความสงสาร ถ้าหากเกิดความสงสารขึ้นแล้ว ถึงแม้ไม่รู้จักมักคุ้นและไม่มีประโยชน์ได้เสียใดๆ ก็จะปักใจเห็นใจช่วยเหลือจนสุดลิ่มทิ่มประตู
ดังตัวอย่างเด็กน้อยคอยเก็บขยะเลี้ยงตายายที่เลี้ยงดูตัวมา พอเป็นข่าวคราวขึ้นผู้คนก็สงสารเวทนาช่วยกันบริจาคเงินทองนับสิบล้านบาท จนกลายเป็นเศรษฐีมีเงินขึ้นในพริบตา
ชะตากรรมของนายกรัฐมนตรีอุ๊งอิ๊งค์ นอกจากต้องรับผลวิบากกรรมจากความไม่พอใจของพวกที่มีความขัดแย้งกับสิ่งที่เรียกว่าระบอบทักษิณอย่างหนักหนาสาหัสแล้ว ยังสมทบด้วยความโน้มเอียงที่เกิดจากความหมั่นไส้เป็นผลกระทบที่เป็นวงกว้างทั่วประเทศ
ทำไมจึงหมั่นไส้ ก็เพราะนายกรัฐมนตรีอุ๊งอิ๊งค์เป็นคนที่มีวาสนาบารมี อายุน้อยเพียงเท่านี้ก็เป็นถึงนายกรัฐมนตรี มีฐานะมั่งคั่งร่ำรวยหลายหมื่นล้านบาท มีความสวยมีความสง่างาม พรั่งพร้อมทุกอย่าง ทั้งบริษัทบริวารก็พร้อมแห่แหนเป็นขบวนใหญ่ ซึ่งดูเหมือนว่าเป็นข้อดี แต่แท้จริงแล้วสภาพเช่นนี้เป็นไปด้วยความโน้มเอียงพิเศษของคนไทยคือความหมั่นไส้ และเมื่อหมั่นไส้แล้วก็พาลไปสู่ความเกลียดชังก่นด่าดังเหตุการณ์ที่เป็นอยู่ในขณะนี้
น่าเสียดายว่าบริษัทบริวารหรือผู้คนแวดล้อมใกล้ชิดนายกรัฐมนตรีอุ๊งอิ๊งค์นั้น แม้จะมีผู้มีความรู้ ความสามารถ มีฐานะอันสูง แต่กล่าวได้ว่าไม่มีใครแม้แต่สักคนเดียวที่สัมผัสรู้และเข้าใจในสิ่งที่เรียกว่าโลกนิติ ธรรมนิติ มิหนำซ้ำยังอ่อนด้อยในเรื่องราชนิติ คือบทกฎหมายพระอัยการทั้งหลายที่มีมาสำหรับแผ่นดิน จึงถูกกระหน่ำซ้ำตีจนโงหัวไม่ขึ้นในขณะนี้ สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่ขงเบ้งเรียกว่าพลังจักรวาล คือความรัก ความสงสาร ความศรัทธา ความเกลียดความชัง ที่มีอานุภาพมาก ขงเบ้งเปรียบเทียบว่าเสมือนมีทหารร้อยหมื่นที่จะรบที่ไหนก็จะชนะที่นั่น หรือในด้านตรงกันข้ามก็หมายถึงถูกทหารร้อยหมื่นรุมกระทืบอยู่ จะหาความสุขสบายได้ที่ตรงไหน
ดังนั้นในปัจจุบันนี้ต้องถือว่านายกรัฐมนตรีอุ๊งอิ๊งค์ต้องถือว่าเป็นคนน่าสงสารที่สุด และต้องถือว่าป่วยด้วยโรคร้ายแรงที่สุดคือโรคหมั่นไส้ ที่จะต้องรีบหาหมอดีมารักษาให้หายโดยไว มิฉะนั้นก็จะชอกช้ำระกำใจร่ำไป
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี