สถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่กลับมารุนแรงอีกครั้งในช่วงนี้..ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเกี่ยวเนื่องกับ“กรณีตากใบ” และ“กรณีกรือเซะ-สะบ้าย้อย”..ที่โยงใยไปถึงอดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร
เพราะทั้งสองกรณี 3 เหตุการณ์ดังกล่าว..คือ“กรณีตากใบ” และ“กรณีกรือเซะ-สะบ้าย้อย” นั้นเกิดขึ้นในปี 2547 สมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทยที่มี“ทักษิณ ชินวัตร”เป็นนายกรัฐมนตรี..และทักษิณเป็นผู้สุม“ไฟแค้น”ให้ลุกลามบานปลายกลายเป็น“ไฟใต้”มาจนกระทั่งทุกวันนี้
เหตุการณ์ล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 29 กันยายนที่ผ่านมา..คือเหตุ“คาร์บอมบ์”ที่อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส..ถือว่ามีผลต่อเนื่องมาจากเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ที่เพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2567..โดยกลุ่มคนร้ายบุกเข้าไปเผาสำนักงานของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า“ฮาลา -บาลา” บ้านบาลา หมู่ที่ 5 ตำบลโละจูด อำเภอแว้ง จังหวัดนราธิวาส
กลุ่มคนร้ายหรือผู้ก่อการร้ายประมาณ 10-20 คน..ได้จับตัวเจ้าหน้าที่ 4 คนมัดมือมัดเท้าไว้เป็นตัวประกัน..และหลังจากนั้นก็ได้จุดไฟเผาอาคารสำนักงาน, บ้านพัก, โรงจอดรถยนต์ และรถยนต์ของทางราชการ..ซึ่งการก่อเหตุครั้งนี้..กลุ่มผู้ก่อการร้ายปล้นอาวุธปืนลูกซองยาวไปได้ 10 กระบอก และปืนพกสั้นอีก 1 กระบอก..รวมโทรศัพท์มือถือของเจ้าหน้าที่ด้วย
ส่วนเหตุ“คาร์บอมบ์”ที่อำเภอตากใบเมื่อวันที่ 29 กันยายน..ถือว่าอุกอาจมาก..โดยกลุ่มผู้ก่อการร้าย 4-5 คนแต่งกายเลียนแบบคล้ายเจ้าหน้าที่ปิดบังใบหน้า..ได้นำรถยนต์ยี่ห้อ MG5 สีเทา ซึ่งปล้นมาจากชาวบ้านแล้ววางระเบิดแสวงเครื่องไว้ภายในรถยนต์ไปจอดบริเวณหน้าบ้านพักนายอำเภอตากใบ หมู่ 3 ตำบลเจ๊ะเห อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส
โชคดีที่เหตุ“คาร์บอม”ครั้งนี้ไม่มีใครเสียชีวิต..แต่ก็ทำให้พลทหาร 2 นายสังกัดหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธิน-กองทัพเรือ 33 ได้รับบาดเจ็บ..คือ รายหนึ่งมีบาดแผลไฟไหม้ และถูกสะเก็ดระเบิดบริเวณแผ่นหลัง..อีกรายหนึ่งมีบาดแผลไฟไหม้ ถูกสะเก็ดระเบิดบริเวณแขนขวา และมีแผลฉีกขาดบริเวณที่ขาข้างซ้าย..ขณะนี้นอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ จังหวัดนราธิวาส..ขณะเดียวกันเหตุครั้งนี้ ยังทำให้บ้านเรือนของประชาชนบริเวณโดยรอบได้รับความเสียหายจากแรงระเบิดด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ดี..สถานการณ์ความรุนแรงที่จังหวัดนราธิวาสสองครั้งล่าสุดนี้, นายฉัตรชัย บางชวด รองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ให้สัมภาษณ์สื่อเมื่อวันที่ 30 กันยายนวานนี้..โดยมองว่ามีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย..ทั้งอาจจะก่อเหตุเป็นการต่อเนื่องจากการก่อเหตุที่ผ่านมา..หรืออาจจะเป็นเพราะช่วงนี้เป็นช่วงรอยต่อของการเปลี่ยนแปลงตัวบุคคล..ทั้งฝ่ายรัฐบาล, ทหาร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง..ซึ่งจะมีการเปลี่ยนถ่ายผู้ที่มีตำแหน่งใหม่เข้าไปในพื้นที่..จึงอาจเป็นส่วนหนึ่งในวงรอบก็เป็นได้
แต่อย่างไรก็ตาม ในมุมมองของผู้ที่ติดตามสถานการณ์“ไฟใต้”มาอย่างยาวนาน..ตั้งแต่สมัยรัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์..ที่ทำให้สถานการณ์รุนแรงในจังหวัดชายแดนใต้ คือ ยะลา, ปัตตานี, นราธิวาส, สตูล และสงขลา คลี่คลายได้ด้วย“นโยบายใต้ร่มเย็น”..และมาปะทุขึ้นใหม่ในช่วงรัฐบาลพรรคไทยรักไทยของ“ทักษิณ ชินวัตร”..สามารถพูดได้ว่า..เหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นสองครั้งติดต่อกันนี้..มีผลมาจากรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่มี“แพทองธาร ชินวัตร”เป็นนายกรัฐมนตรี
เพราะใครก็รู้ว่า“รัฐบาลมาดามแพ”ชุดนี้..นายกรัฐมนตรีตัวจริงก็คืออดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร..ที่ได้เคยก่อเวรก่อกรรมไว้กับประชาชนคนไทยเชื้อสายมลายูหรือพี่น้องชาวไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้..สมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทย
เริ่มตั้งแต่เหตุการณ์ปล้นปืนเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2547 ที่“ค่ายปิเหล็ง”กองพันพัฒนาที่ 4 อำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส..ผู้ก่อเหตุได้อาวุธปืนของทหารไปกว่า 413 กระบอก..มีทหารเวรเสียชีวิต 4 นาย..และหลังจากนั้นรัฐบาลของ“ทักษิณ ชินวัตร”ที่เจ้าตัวพูดพล่อยๆ ว่าเป็นฝีมือ“โจรกระจอก”..ก็ได้ประกาศใช้กฎหมายพิเศษ..ทั้งกฎอัยการศึก, พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และกำลังทหาร..รวมถึงการทุ่มงบประมาณจำนวนมหาศาล..เพื่อตามล่ากลุ่มผู้ก่อเหตุ และติดตามอาวุธปืนกลับคืน
การใช้กฎหมายพิเศษดังกล่าวและการใช้กำลังเจ้าหน้าที่ฝ่ายมั่นคงเข้าปฏิบัติการ ซึ่งมี พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร ลูกพี่ลูกน้องของ“ทักษิณ ชินวัตร” เป็น ผบ.ทบ...ได้สุมไฟแค้นให้แก่ชาวบ้านที่เป็นคนไทยมุสลิม..เพราะเจ้าหน้าที่สามารถเข้าตรวจค้นจับกุมใครก็ได้..ไม่ว่าจะในยามปกติหรือยามวิกาล โดยไม่ต้องมี“หมายจับ-หมายค้น”จากศาล..และในช่วงนั้นก็ปรากฏว่า..มีข่าวในพื้นที่พูดถึงการจับตัวคนไทยมุสลิมที่ต้องสงสัยแล้วถูก“อุ้มหาย”เป็นจำนวนไม่น้อย
จากเหตุการณ์ปล้นปืน ต่อมาก็เกิด“กรณีกรือเซะ-สะบ้าย้อย”ในวันที่ 28 เมษายน 2547 โดยที่กรือเซะนั้น..มีการล้อมปราบที่มัสยิดกรือเซะ อำเมือง จังหวัดปัตตานี..ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ใช้อาวุธหนักยิงถล่ม..เป็นเหตุให้มีชาวไทยมุสลิมเสียชีวิตในมัสยิดแห่งนี้ถึง 32 ศพ..และวันเดียวกันนั้นก็มีเหตุไม่สงบเกิดขึ้นพร้อมกันอีกหลายจุดทั้งที่จังหวัดยะลา และอำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา ที่มีนักฟุตบอลทีมเยาวชนถูกยิงเสียชีวิตทั้งทีมถึง 19 ศพ..สรุปแล้วเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นวันเดียวมีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 108 ศพ..ในจำนวนนี้มี 5 ศพที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ
เหตุการณ์“กรือเซะ-สะบ้าย้อย”ผ่านมาได้ไม่กี่เดือน...ในวันที่ 25 ตุลาคม 2547 ก็เกิดเหตุการณ์“กรณีตากใบ”ที่อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาสขึ้นมาอีก..มีคนไทยมุสลิมเสียชีวิตทั้งหมด 85 ศพ..โดย“ตายทั้งเป็น”เพราะขาดอากาศหายใจบนรถระหว่างถูกควบคุมตัวจากอำเภอตากใบ..ไปคุมขังที่ค่ายทหาร ในจังหวัดปัตตานี 78 ศพ และเสียชีวิตจากกระสุนปืนของเจ้าหน้าที่ระหว่างสลายการชุมนุมหน้า สภ.อ.ตากใบ 7 ศพ
“กรณีตากใบ”จะครบ 20 ปีในวันที่ 25 ตุลาคมเดือนนี้..แต่คดียังไม่จบ..แม้จะสาวไปไม่ถึง“ทักษิณ ชินวัตร”..แต่อดีตแม่ทัพภาคที่ 4 ที่อยู่กับทักษิณในวันเกิดเหตุในฐานะ“ผู้สั่งการ-ควบคุม”สถานการณ์..คือ พล.อ.พิศาล วัฒนวงษ์คีรี..ซึ่งปัจจุบันเป็น สส.บัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทยนั้น-ไม่รอด..ได้ตกเป็น “1 ใน 7 จำเลย” ที่ศาลจังหวัดนราธิวาสประทับรับฟ้อง..ก่อนคดีจะหมดอายุความ 20 ปี..และระหว่างนี้ พล.อ.พิศาล และจำเลยอีก 6 คน..ได้หลบซ่อนตัวไม่ยอมไปศาลตามนัดเมื่อวันที่ 13 กันยายนที่ผ่านมา..โดยที่จำเลย 6 คนถูกออกหมายจับ..ส่วน พล.อ.พิศาล มีเอกสิทธิ์จากการเป็น สส.ได้รับความคุ้มครอง..ไม่สามารถออกหมายจับได้ระหว่างเปิดสมัยประชุมสภาฯ
ดูรูปการณ์แล้วเหตุการณ์ที่เกิดทั้งสองครั้งล่าสุดนี้..ไม่น่าจะเป็นอย่างอื่น..นอกจากสื่อสัญญาณพุ่งเป้าตรงไปที่“ทักษิณ ชินวัตร”..และรัฐบาลพรรคเพื่อไทยของ“มาดามแพ”..แบบ“ตาต่อตา-ฟันต่อฟัน”ที่ทักษิณถนัดใช้สมัยเป็นนายกรัฐมนตรี !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี