เมื่อได้เห็นสำนักข่าวหนึ่ง โพสต์ภาพและข้อความของนายพริษฐ์ วัชรสินธุ หรือ “ไอติม” จากพรรคก้าวไกล ที่กลายเป็นพรรคประชาชนอยู่ในขณะนี้กล่าวว่า
“ขอขีดเส้นใต้ 100 ครั้ง เราไม่ได้บอกว่านักการเมืองไม่ควรถูกตรวจสอบ แต่การให้องค์กรไม่กี่องค์กรมานิยามว่า อะไรคือจริยธรรม ตรงนี้คือสิ่งอันตราย”
ผมโพสต์ความเห็นของผมลงในเฟซบุ๊ก “ปู จิตกร บุษบา” ทันทีว่า
“...เลอะเทอะครับ ไอติม ยิ่งอยู่ยิ่งเลอะเทอะ”
1). คำว่า “จริยธรรม” มีนิยามที่ชัดเจน และได้รับการ “จำกัดความ” ไว้ในหลายๆ ที่ อาทิ ข้อบังคับว่าด้วยประมวลจริยธรรมของ สส. และกรรมาธิการ,
ข้อบังคับว่าด้วยประมวลจริยธรรมของ สว. และกรรมาธิการ, ประมวลจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ เป็นต้น
2). รัฐธรรมนูญ ปี ๒๕๖๐ มาตรา ๒๑๙ กำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ เป็นผู้กำหนดมาตรฐานทางจริยธรรมขึ้นมาบังคับใช้ ในการจัดทำต้องรับฟังความเห็นของสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา และคณะรัฐมนตรีด้วย โดยเนื้อหาต้องระบุให้ชัดแจ้งด้วยว่าการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมใดมีลักษณะร้ายแรง
3). หลังรัฐธรรมนูญบังคับใช้ไม่ถึงปี ศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระก็จัดทำมาตรฐานทางจริยธรรมเสร็จ โดยใช้ชื่อว่า “มาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระรวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ” โดยประกาศใช้เมื่อวันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๖๑ ซึ่งนำมาใช้บังคับแก่ สส. สว. และครม. ด้วยตามรัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ มาตรา ๒๑๙ วรรคสอง
4). บุคคลทั้งหลายพึงอ่าน ศึกษา และปฏิบัติตาม มิใช่ฝ่าฝืน ถูกลงโทษ แล้วมาหงุดหงิดงอแงไม่รู้จักโต ไม่มีความรับผิดชอบ เอะอะโวยวายแบบเด็กที่ไม่ได้ดั่งใจ
5). ถามว่า ตอนพรรคก้าวไกล ขับ “อ๋อง ป๋องเบียร์” นายปดิพัทธ์ สันติภาดา ออกจากพรรค เขาใช้ข้อบังคับใดของพรรคขับครับ เขาใช้คนกี่คนขับครับ เขาใช้กี่องค์กร ขับครับ ก็ไม่เห็นว่า ไอติมจะออกมาสะบัดสะบิ้ง ท้วงติง หรือมีข้อแม้เลยนี่
นายประพฤติ ฉัตรประภาชัย อดีตผู้สมัคร สส. พรรคประชาธิปัตย์และนักกฎหมาย โพสต์เฟซบุ๊กใน
เรื่องนี้ว่า
“ข้อบังคับพรรคก้าวไกล พ.ศ. 2563 ข้อ 64 บัญญัติว่า สมาชิกภาพของพรรคสิ้นสุดลง เมื่อ (5) พรรคการเมืองมีมติให้ออกเพราะกระทําผิดวินัยหรือจรรยาบรรณอย่างร้ายแรง หรือมีเหตุร้ายแรงอื่น แต่จากแถลงการณ์ของพรรคก้าวไกลผมยังไม่เห็นว่าหมออ๋อง “กระทําผิดวินัยหรือจรรยาบรรณอย่างร้ายแรงหรือมีเหตุร้ายแรงอื่น” เลยนะ แล้วขับเขาออกได้ไง” การแสร้งขับนายปดิพัทธ์ออกจากพรรคก็เพื่อจะรักษาเก้าอี้รองประธานสภาผู้แทนราษฎร และรักษาเก้าอี้ “ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร” ไว้กับพรรคเท่านั้น เป็นเล่ห์เหลี่ยมเพื่อรักษาอำนาจ ที่ไม่ต่างอะไรจากนักการเมืองเก่าๆ และพรรคการเมืองเดิมๆ ไม่ได้ขาวสะอาด ไม่ได้สง่าผ่าเผย ไม่ได้เปี่ยมล้นด้วยจริยธรรมอันใด
6). ตอนขับไอ้ สส. หื่นกามก็เหมือนกัน ตอนแรกไม่ขับ พอสังคมรุมประณาม เอ้า! ขับก็ได้ องค์กรที่ชื่อว่า พรรคก้าวไกล ที่ไอติมเลือกไปอยู่นั่น โคตรมีมาตรฐานเลยนะครับ ล้างส้วมในบ้านตัวเองให้สะอาดก่อนดีไหม แล้วค่อยมาเอะอะโวยวายว่า ต้องทำความสะอาดบ้านเมืองแล้ว!!
ประชาชน 60 ล้านคน 70 ล้านคน เขายังไม่เคยโวยวายเลยว่า ทำไมต้องให้ สส. ๕๐๐ คน ออกกฎหมายแทนกู และออกอยู่องค์กรเดียว!!
รีบๆ โต รีบๆ มีบรรทัดฐานที่น่าเชื่อถือก่อน แล้วค่อยออกมา #วางก้าม #อวดเบ่ง จะเป็นไม้บรรทัดวัดมาตรฐานของประเทศ มีความน่าเชื่อถือพอแล้วเหรอครับ ที่พรรคมีกระจกไหม ลองส่องดูก่อนนะ พี่ว่า”
7) ไอติม ต้องไม่ทำตัวเหมือน “คนสีส้ม” ที่เอะอะๆ ก็โยนความผิดออกนอกตัว องค์กรสีส้มไม่ใช่องค์กรคุณธรรม ไม่ใช่คนที่จะวางระบบคุณธรรมได้ จนกว่าจะปัดกวาดตัวเองให้สะอาดและน่าเชื่อถือ
8) ล่าสุด คะแนนนิยมของหัวหน้าพรรคประชาชน คือ นายเท้ง ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ตามหลังอุ๊งอิ๊งค์แพทองธาร ชินวัตร ที่มาอันดับ 1 อันดับสองไม่มี อันดับสามจึงจะเป็นเท้ง ในเรื่องนี้ นายณัฐพงษ์ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ นิด้าโพลเผยผลสำรวจความนิยมทางการเมืองไทยไตรมาส 3 ซึ่งสนับสนุน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นอันดับ 1 ส่วนนายณัฐพงษ์อยู่ในอันดับที่ 3 ว่า เรื่องของผลโพลล์เป็นเรื่องปกติ เรารับรู้เพื่อนำมาปรับปรุงการทำงานให้ดียิ่งขึ้น และเดินหน้าทำงานอย่างเต็มที่ ไม่ได้เป็นอุปสรรคหรือทำให้เสียกำลังใจแต่อย่างใด บริบททางการเมืองที่ผ่านมาผลโพลล์ มีทั้งขึ้นและลง ขึ้นอยู่กับว่าสำนักใดเป็นผู้สำรวจด้วย เชื่อว่าวิธีการที่จะทำให้คะแนนนิยมเรามั่นคงยิ่งขึ้น ดีวันดีคืนไปจนถึงการเลือกตั้งปี’70 คือการทำงานในพื้นที่อย่างเต็มที่
เมื่อถามว่าคะแนนนิยมตก เนื่องจากการอภิปรายในสภาด้วยหรือไม่ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ไม่เกี่ยวกัน การที่ สส.ของพรรคออกมาชี้แจงต่อสื่อมวลชนอย่างตรงไปตรงมา ทำความเข้าใจ รวมถึงการทำงานพื้นที่อย่างใกล้ชิดประชาชน น่าจะเป็นส่วนสำคัญมากกว่า
ส่วนอีกปัจจัยที่อาจทำให้คะแนนนิยมตก คือสถานการณ์ทางการเมืองซึ่งเกิดการยุบพรรคที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่า ในหลายพื้นที่ที่ตนไป ยังไม่ทราบข่าวสารของพรรคประชาชน “บางคนยังไม่ทราบเลยว่าผมมาเป็นหัวหน้าพรรคประชาชนแล้ว” หน้าที่ของพวกเราต่อจากนี้ คือการเข้าหาประชาชนทำงานในพื้นที่ เพื่อทำให้ประชาชนรับทราบข่าวสารอย่างทั่วถึง
เมื่อถามถึงสาเหตุที่คะแนนนิยมตกเป็นเพราะนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองด้วยหรือไม่ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ไม่เชื่อว่าเป็นอย่างนั้น ส่วนตัวพร้อมเดินหน้าทำงานต่อเต็มที่เพื่อพิสูจน์การทำงานต่อจากนี้อีก 2 ปี เชื่อว่าในการเลือกตั้งครั้งหน้า พรรคประชาชนจะได้รับการสนับสนุนจากประชาชน แต่ไม่ได้คาดหวังว่าจะมาเลือกเราหากไม่มีผลงาน ในฐานะหัวหน้าพรรคต้องสื่อสารกับพรรคว่า เราต้องทำงานอย่างเต็มที่ ไม่ทิ้งพื้นที่ ต้องทำผลงานให้เป็นรูปธรรมให้ได้
9) นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก “เทพไท - คุยการเมือง” หัวข้อ ทำไม “อุ๊งอิ๊ง” โดดเด่นกว่า “เท้ง” ระบุว่า... ผลสำรวจของ“นิด้าโพล” เรื่อง “การสำรวจคะแนนนิยมทางการเมืองรายไตรมาส ครั้งที่ 3/2567” ซึ่งได้ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 16-23 กันยายน 2567 นั้นผลปรากฏว่า อันดับ 1 ร้อยละ 31.35 เป็น นางสาวแพทองธาร (อุ๊งอิ๊งค์) ชินวัตร (พรรคเพื่อไทย) อันดับ 2 ร้อยละ 23.50 ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้ อันดับ 3 ร้อยละ 22.90 เป็น นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ (พรรคประชาชน) อันดับ 4 ร้อยละ 8.65 เป็น นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค (พรรครวมไทยสร้างชาติ) อันดับ 5 ร้อยละ 4.80 เป็นคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ (พรรคไทยสร้างไทย)
แต่ผลการสำรวจความนิยมของพรรคการเมืองพบว่า อันดับ 1 ร้อยละ 34.25 เป็น พรรคประชาชน อันดับ 2 ร้อยละ 27.15 เป็น พรรคเพื่อไทย อันดับ 3 ร้อยละ 15.10 ยังหาพรรคการเมืองที่เหมาะสมไม่ได้ อันดับ 4 ร้อยละ 9.95 เป็น พรรครวมไทยสร้างชาติ อันดับ 5 ร้อยละ 4.40 เป็น พรรคประชาธิปัตย์
จะเห็นได้ว่าคะแนนนิยมตัวบุคคล นางสาวแพทองธาร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย มีคะแนนอันดับ 1 ชนะนายณัฐพงษ์หัวหน้าพรรคประชาชน อยู่อันดับ 3 และยังมีคะแนนเสียงที่ยังหาคนเหมาะสมไม่ได้ 23.50% ซึ่งจะตัวแปรสำคัญ ทั้งนางสาวแพทองธารและนายณัฐพงษ์สามารถช่วงชิงได้แต่ถ้านายณัฐพงษ์ พัฒนาตัวเองให้เร็วขึ้น น่าจะมีโอกาสช่วงชิงคะแนนกลุ่มนี้ได้มากกว่า แต่ถ้าดูผลการสำรวจเกี่ยวกับพรรคการเมือง พบว่า ความนิยมของพรรคประชาชน เหนือกว่าพรรคเพื่อไทย ถ้าถามว่าทำไมคะแนนนิยมตัวบุคคลและพรรคการเมืองไม่มีความสัมพันธ์กัน
ผมอยากจะวิเคราะห์ว่า การที่คะแนนของนางสาวแพทองธาร โดดเด่นขึ้นมา เพราะความเป็นนายกรัฐมนตรีส่วนหนึ่ง
แต่ส่วนสำคัญก็คือไม่มีตัวบุคคลโดดเด่นพอที่จะเทียบเคียงกับนางสาวแพทองธารได้ เพราะนายณัฐพงษ์ ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคประชาชนคนใหม่ ก็ยังไม่มีบทบาทโดดเด่นและภาพลักษณ์ยังไม่เป็นที่นิยมของประชาชนถ้าเปรียบเทียบกับนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ซึ่งดูจากผลการสำรวจของสวนดุสิตโพลพบว่า นายพิธา มีคะแนนนิยม 38.43% สูงกว่านายณัฐพงษ์ ที่ได้ 34.10%
ในส่วนของพรรคการเมืองนั้น พรรคประชาชนยังมีคะแนนนิยมชนะพรรคเพื่อไทยเหมือนเดิม เพราะจุดยืนและอุดมการณ์พรรคได้สืบทอดมาจากพรรคก้าวไกล ไม่เปลี่ยนแปลง จึงทำให้คะแนนนิยมยังไม่เปลี่ยนแปลงไปด้วยเช่นกัน
สิ่งที่พรรคประชาชน จะต้องพิจารณาและปรับปรุงแก้ไขนั่นก็คือ บทบาทของนายณัฐพงษ์ หัวหน้าพรรคคนใหม่ ให้เป็นที่ยอมรับและเป็นที่นิยมของประชาชน บทบาททางการเมืองต้องโดดเด่นกว่านี้ ซึ่งถ้าจะเปรียบเทียบกับบทบาทของคนในพรรคประชาชน เห็นว่านายณัฐพงษ์ ยังโดดเด่นน้อยกว่านายพิธา นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล หรือนายพริษฐ์ วัชรสินธุ ด้วยซ้ำไป จึงเป็นปัญหาสำคัญที่พรรคประชาชน จะต้องขบคิดว่าจะทำอย่างไร ให้บทบาทของหัวหน้าพรรค โดดเด่นควบคู่กับคะแนนนิยมของพรรคในทิศทางเดียวกัน
สรุป : นายณัฐพงษ์ ไม่มีความโดดเด่นใดๆในตัวเองเลย ไม่ใช่ตัวพ่อแห่งวาทกรรม ไม่ใช่ผู้นำทางความคิด ไม่ใช่นักปฏิบัติ น้ำท่วมคนเดือดร้อนก็ไม่โดดเด่นในการแสดงความเห็นอกเห็นใจหรือลงไปช่วยเหลือ จับต้องไม่ได้ว่ามีความเชี่ยวชาญและเอาจริงเอาจังกับเรื่องใด และพรรคก็ใช้วิธีลอยไปลอยมา ไม่ลงลึกกับปัญหาใดๆ ของประเทศชาติและประชาชน นอกจาก 112 กับ แก้รัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นความต้องการส่วนตัวมากกว่าความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่
การอยู่แบบแล้งน้ำใจ ป่วนบ้านป่วนเมืองไปวันๆ จึงทำให้อนาคตของพรรคประชาชนนั้น ถดถอยลงไปเรื่อยๆ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี