ยุคนี้มียาแรงเรื่องความซื่อสัตย์และมาตรฐานทางจริยธรรมร้ายแรง ซึ่งเป็นยาแรงของรัฐธรรมนูญ“ปราบโกงนักการเมือง”ฉบับนี้บังคับใช้อยู่ มีผลทำให้รัฐบาลพรรคเพื่อไทยซึ่งมีนักการเมืองที่มี“บาดแผล”ประเภททึมๆ เทาๆ อยู่เยอะ ไม่กล้าทำอะไรผลีผลาม
แบบคิดจะแต่งตั้งใครสักคนก็ต้องคิดแล้วคิดอีก โดยเฉพาะการแต่งตั้งนักการเมืองที่เป็นข้าทาสบริวารของตนเข้าไปดำรงตำแหน่งทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งรัฐมนตรี หรือตำหน่งใดก็ตามที่ต้องยึดโยงอยู่กับรัฐธรรมนูญมาตรา 160 (4) และ (5)
คือต้องระมัดระวังที่จะไม่แต่งตั้งคนที่มีคุณสมบัติขัดกับรัฐธรรมนูญมาตรา 160 (4) ที่บัญญัตติไว้ว่า“มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์” และมาตรา 160 (5)บัญญัติไว้ว่า “ไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง”
ยาแรงที่เป็นยาปราบโกงนักการเมืองตามข้อบัญญัติของรัฐธรรมนูญดังที่ว่านั้น กลายเป็น“ยาขม”หรือของแสลงที่พรรคเพื่อไทยกลัวจนขนหัวลุก จึงมีความพยายามที่จะยกเลิกหรือแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 160 (4)และ (5) ให้ได้
ข้อดีที่เป็นคุณประโยชน์แก่บ้านเมืองของรัฐธรรมนูญฉบับ“ปราบโกงนักการเมือง” ไม่เพียงแต่ป้องกันไม่ให้นักการเมืองชั่วที่มีสีทึมเทาทั้งหลายเข้าไปมีอำนาจได้ในระดับหนึ่งแล้ว ก็ยังเป็นคุณแก่ข้าราชการประจำในแต่ละกระทรวงในแต่ละองค์กร ที่มีโอกาสจะได้ไต่เต้าขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดในหน่วยงานของตนซึ่งได้รับราชการมาทั้งชีวิต
อย่างน้อยจากการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 ตุลาคมวานนี้ ก็ได้เห็นปรากฏการณ์ใหม่ ซึ่งที่ประชุมคณะรัฐมนตรีที่มี“มาดามแพ-แพทองธารชินวัตร”นั่งหัวโต๊ะในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มีมติแต่งตั้งนายฉัตรชัย บางชวดรองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ขึ้นเป็นเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ที่มีระดับซี 12เท่ากับตำแหน่งปลัดกระทรวง
นับได้ว่าข้าราชการที่เป็น“ลูกหม้อ”ขององค์กรแห่งนี้ ซึ่งเป็นองค์กรหลักของประเทศที่มีความสำคัญสูงสุดด้าน“ข่าวกรอง” เทียบกับในอดีตไม่กี่คน มีน้อยมากที่จะมีโอกาสขึ้นมาถึงจุดสูงสุดของชีวิตราชการ
สภาความมั่นคงแห่งชาติของบ้านเรา เป็นหน่วยงานด้านความมั่นคงและข่าวกรอง..ที่นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี..ใช้ในการประสานงานด้านความมั่นคงและการป้องกันประเทศ เปรียบไปก็ไม่ต่างจาก“ซีไอเอ”(CIA) หรือ“สำนักข่าวกรองกลางของสหรัฐอเมริกา” (Central IntelligenceAgency) อันเป็นหน่วยงานข่าวกรองฝ่ายพลเรือนของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ มีหน้าที่หลัก คือ การรวบรวม,ประมวล, และวิเคราะห์ข้อมูลข่าวสารด้านความมั่นคงแห่งชาติจากทั่วโลก
“ซีไอเอ”ใช้สายลับเป็นหน่วยสืบข่าวกรองทั้งในประเทศและทุกประเทศทั่วโลก จะว่าเหมือน“เจมส์บอนด์”สายลับของหน่วยข่าวกรองลับอังกฤษ ซึ่งเป็นพระเอกในนิยายของ“เอียนเฟลมมิง”ก็ไม่ผิดนัก โดยหัวหน้าองค์กรซีไอเอคือ“ผู้อำนวยการซีไอเอ”นั้นใหญ่โตมโหฬาร เป็นคนที่คอยป้อนข้อมูลข่าวกรองให้แก่ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ และรัฐมนตรีของรัฐบาลกลาง
คนที่เป็นประธานาธิบดีจะตัดสินใจผิดถูกอย่างไร ล้วนขึ้นอยู่กับข่าวกรองที่ CIA ป้อนให้ ถ้าถูกยัดไส้หรือใครมีแผนคิดไม่ซื่อต้องการจะโค่นล้มประธานาธิบดี หากตัวประธานาธิบดีถูกป้อนข้อมูลบิดๆ เบี้ยว ก็ถือว่าจบเห่ ฉะนั้นตัวบุคคลที่ขึ้นจะมาเป็นผู้อำนวยการซีไอเอจึงต้องเป็นที่ไว้วางใจได้ของประธานาธิบดี
“ข้อมูล คืออำนาจ”จึงไม่ผิดไปจากนี้ ใครมีข้อมูลอำนาจที่ถูกต้องและใกล้เคียงกับข้อเท็จจริงมากที่สุดอยู่ในมือ ก็ย่อมมีชัยไปกว่าครึ่ง และยิ่งในศตวรรษที่ 21ซึ่งเป็นโลกยุคดิจิทัล ที่ข้อมูลข่าวสารเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก “ข่าวกรอง”จึงถือว่าสำคัญอย่างยิ่ง
สภาความมั่นคงแห่งชาติของไทยนั้น เคยถูกขนามนามว่าเป็น “ซีไอเอเมืองไทย”ในยุคที่ น.ต.ประสงค์สุ่นศิริ นั่งเก้าอี้เลขา สมช. ระหว่างปี 2523-2529 ในยุครัฐบาล“พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์” และ น.ต.ประสงค์ก็ยังถูกบันทึกไว้ด้วยว่าเป็น“ลูกหม้อ”คนแรกของสภาความมั่นคงแห่งชาติที่ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดในหน่วยงานนี้
หากดูปูมหลัง ก็จะพบว่า น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ นั้น เป็น“เจมส์ บอนด์”มืออาชีพ โดยในปี 2509ขณะที่รับราชการที่กรมข่าวทหารอากาศได้รับทุนไปเรียนด้านข่าวกรองที่กองทัพอากาศสหรัฐอเมริกา หลังเรียนจบได้ย้ายไปสังกัดสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ดำรงตำแหน่งหัวหน้ากอง 1สมช., ผู้อำนวยการกองข่าว สมช., ผู้ช่วยเลขาธิการ สมช., รองเลขาธิการ สมช.และขึ้นดำรงตำแหน่งเลขาธิการ สมช. ในปี 2523 ต่อจาก พล.อ.อ.สิทธิ เศวตศิลา อดีตองคมนตรีและอดีตรัฐมตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่เกษียณอายุราชการ
น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ เป็น เลขาธิการ สมช.คนที่ 6 และจากจำนวนเลขาฯ สมช.ทั้งหมด 25คนจนถึงวันนี้นั้น นายฉัตรชัย บางชวด ถือว่าเป็น“ลูกหม้อ”คนที่ 7ของสภาความมั่นคงแห่งชาติ ที่มีโอกาสได้ก้าวขึ้นถึงตำแหน่งสูงสุด
ส่วนเลขา สมช.คนอื่นๆ ที่ไม่ใช่“ลูกหม้อ”จำนวน 18 คน โดยยกเว้น“พล.ต.หลวงวิจิตรวาทการ”เลขาฯสมช.คนแรกและมีส่วนสำคัญในการตั้งหน่วยงานแห่งนี้ที่เปลี่ยนจาก“สภาป้องกันราชอาณาจักร” มาเป็น“สภาความมั่นคงแห่งชาติ”ในปี 2502 สมัยรัฐบาลจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ นั้น ล้วนแล้วมาจาก“กองทัพ”ที่เป็นนายทหารระดับพลเอก
มีเฉพาะรัฐบาล“หุ่นเชิด”ของทักษิณ ชินวัตร เท่านั้นที่โยกนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ข้ามห้วยมาลงตำแหน่งเลขาฯ สมช.เพื่อต้องการเตะให้พ้นทาง..เช่น ในปี 2554 สมัยรัฐบาล“ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ย้ายนายถวิลเปลี่ยนศรี ซึ่งเป็น“ลูกหม้อ”ของ สมช.ออกจากตำแหน่งเลขาฯ สมช.ไปเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และย้ายพล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ออกจากตำแหน่ง ผบ.ตร.ข้ามห้วยมาลงตำแหน่ง เลขาฯ สมช. เพื่อเปิดทางให้พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ พี่ชายคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ ขึ้นเป็น ผบ.ตร. และสุดท้ายในปี 2557“ยิ่งลักษณ์”ก็ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี กรณีย้ายนายถวิล โดยศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ได้เป็น ผบ.ตร.
โชคดีของ“นายฉัตรชัย บางชวด”ที่เหลืออายุราชการอีก 3 ปีก่อนจะเกษียณในปี 2570 ซึ่งได้อานิสงส์ของรัฐธรรมนูญฉบับ“ปราบโกงนักการเมือง” จึงทำให้รัฐบาล“มาดามแพ”ไม่กล้าเล่นแร่แปรธาตุย้ายใครมาลงตำแหน่งนี้แบบสุ่มสี่สุ่มห้า เพราะเวลานี้ตัว“มาดามแพ”ก็มีกรณีมาตรา 160 (4) และ (5)มัดคออยู่หลายสิบเรื่องที่ถูก“นักร้อง”ยื่นร้องไปแล้ว
เรียกว่าแม้แต่“มาดามแพ”เอง จะไปวันไหนก็ยังไม่รู้ และสุดท้ายถ้าชะตาขาด ก็คงจะเป็นคิวของ“อาหนู-อนุทินชาญวีรกูล”ของ“คุณหลานอุ๊งอิ๊งค์”เสียที โดยอ่านความเคลื่อนไหวล่าสุดจากการกินข้าวที่บ้านจันทร์ส่องหล้าเมื่อไม่กี่วันมานี้ หรือเนื่องในโอกาส“เบิร์ดเดย์บอย”ระหว่าง“ทักษิณ ชินวัตร”กับ“เนวินชิดชอบ”เจ้าของวรรคทอง“มันจบแล้วครับนาย”
บรรทัดนี้ต้องพูดว่า-การเมืองของเมืองไทยนั้น“ไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวร”ครับ !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี