“ที่ของข้าพเจ้าในโลกนี้ คือการอยู่ท่ามกลางประชาชนของข้าพเจ้า นั่นก็คือคนไทยทั้งปวง”
ที่ยกมานั้นคือพระราชดำรัสของในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งอีกสองวันที่จะถึงนี้ คือวันที่ 13 ตุลาคม 2567 จะครบ 8 ปีวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร หรือ“วันนวมินทรมหาราช”
ที่มาของ“วันนวมินทรมหาราช” นั้น สมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่11 เมษายน 2560 กำหนดให้วันที่ 13 ตุลาคมของทุกปี ซึ่งตรงกับวันคล้ายวันสวรรคตของรัชกาลที่ 9เป็นวันหยุดราชการ และพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานพระบรมราชานุญาตกำหนดให้เป็น "วันสำคัญของชาติไทย"และให้จัดกิจกรรมในลักษณะเดียวกับ“วันปิยมหาราช”
70 ปีแห่งการครองสิริราชสมบัติ ตลอดรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรนั้น ประชาชนชาวไทยใต้ร่มพระบารมีต่างมีความผาสุกร่มเย็น ด้วยพระมหากรุณาธิคุณและน้ำพระราชหฤทัยที่ทรงห่วงใยในชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎร พระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่เพื่อก่อเกิดประโยชน์อย่างยั่งยืนแก่ประเทศชาติและประชาชนโดยมิทรงย่อท้อต่ออุปสรรคทั้งปวง
ทรงอุทิศเวลาในการเสด็จพระราชดำเนินไปยังท้องถิ่นทุรกันดารในภูมิภาคต่างๆเพื่อช่วยพัฒนาความเป็นอยู่ของราษฎรให้ดีขึ้น ดังที่เคยพระราชทานสัมภาษณ์แก่สื่อต่างประเทศ“National Geographic”เมื่อปี 2525 ว่า “เคยมีผู้กล่าวไว้ว่าราชอาณาจักรนั้นเปรียบเสมือนพีระมิดมีพระมหากษัตริย์อยู่บนยอดและมีประชาชนอยู่ข้างล่าง แต่สำหรับประเทศไทยแล้วดูเหมือนทุกอย่างจะตรงกันข้าม นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกปวดคอและบริเวณไหล่อยู่เสมอ”
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช อดีตนายกรัฐมนตรีและอดีตผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์สยามรัฐ ซึ่งเคยตามเสด็จพระราชดำเนินในหลวงรัชกาลที่ 9อยู่บ่อยครั้งในช่วงขึ้นครองราชย์ใหม่ๆ และยังเคยเป็น“ตากล้องส่วนพระองค์”เมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศสหรัฐอเมริกา ในปี 2503 พร้อมสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้เคยเขียนไว้ในหนังสือพิมพ์สยามรัฐ ฉบับวันที่ 16พฤศจิกายน 2505 ว่า
“เท่าที่ผมทราบมานั้น ไม่มีอะไรจะทำให้ทั้งสองพระองค์สำราญพระราชหฤทัยเกินไปกว่า..การที่ได้ทรงพบปะกับราษฎรของพระองค์ แม้จะใกล้หรือไกลก็ตามที ตามที่มีคำพังเพยแต่ก่อนว่า รัชกาลที่ 1โปรดทหาร รัชกาลที่ 2 โปรดกวีและศิลปิน.. รัชกาลที่ 3 โปรดช่างก่อสร้าง (วัด) นั้น..ผมกล้าต่อให้ว่ารัชกาลที่ 9 นี้ โปรดราษฎร และคนที่ได้เข้าเฝ้าฯใกล้ชิดที่สุดก็คือราษฎร มิใช่ใครที่ไหนเลย”
ตลอดรัชสมัยของในหลวงรัชกาลที่ 9 ภาพที่คุ้นชินตาของคนไทยก็คือ พระองค์เสด็จฯเยี่ยมราษฎรพร้อมกล้องและแผนที่คู่พระราชหฤทัย..ทรงเข้าถึงพื้นที่ทุกตารางนิ้วของประเทศไทย ไม่ว่าจะบนยอดดอยสูงหรือกระทั่งถิ่นทุรกันดารที่รถยนต์เข้าไม่ถึง ทั้งนี้ก็ด้วยพระราชปณิธานเพื่อทรงมุ่งหวังช่วยเหลือราษฎรให้อยู่ดีกินดีและสามารถพึ่งตนเองได้ อันเป็นที่มาของ“ทฤษฎีใหม่”ว่าด้วย“เศรษฐกิจพอเพียง”..ซึ่งเป็นการพัฒนาประเทศชาติอย่างยั่งยืนแท้จริง
มีภาพเปรียบเทียบที่ผู้รู้เคยแสดงให้เห็นไว้ โดยยกตัวเลขของจำนวนประชาชนที่เข้าสักการะพระบรมศพตั้งแต่วันแรกเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม2559 ซึ่งสำนักพระราชวังอนุญาตให้ประชาชนเข้าถวายสักการะพระบรมศพ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทในพะบรมมหาราชวัง จนถึงวันที่ 5 ตุลาคม 2560 ก่อนจะมีพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพในวันที่ 26ตุลาคม 2560 ว่ายาวแค่ไหน
ปรากฏว่ายาวใกล้เคียงกับเทือกเขาแอนดีส (The Andes)ในอเมริกาใต้ ซึ่งเป็นเทือกเขาที่ยาวที่สุดในโลก มีความยาวโดยเฉลี่ย 7 พันกิโลเมตร พาดผ่าน 7 ประเทศคือ เวเนซุเอลา, โคลอมเบีย, เอกวาดอร์, เปรู, โบลิเวีย, อาร์เจนตินาและชิลี เพราะจำนวนตัวเลขของประชาชนที่เข้าถวายสักการะพระบรมศพตลอด 337 วันนั้น มีจำนวนทั้งสิ้น12,739,531 คน หรือ 12.7 ล้านคน
จากจำนวนคนที่เข้าถวายสักการะพระบรมศพเมื่อนำมาคำนวณเป็นระยะทาง โดยแต่ละคนยืนห่างประมา ณ 60 เซนติเมตร ถ้ายืนเอามือแตะไหล่ต่อๆ กันด้วยระยะดังกล่าว ก็จะคิดออกมาเป็นระยะทางเท่ากับ764,371,860 เซนติเมตร และเมื่อคำนวณออกมาเป็นกิโลเมตรจะเท่ากับ 7,643.72 กิโลเมตร หรือ 7.6พันกิโลเมตร ซึ่งนับว่าอาจจะเท่าหรือยาวกว่าเทือกเขาแอนดีสเสียด้วซ้ำไป ขณะที่ประเทศไทยมีความยาวจากเหนือจรดใต้ จากอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ถึงอำเภอเบตง จังหวัดยะลา ประมาณ 1,600 กิโลเมตร
อย่างไรก็ดี มีตัวเลขสรุปว่า ในรัชสมัยของในหลวงรัชกาลที่9 สถิติโดยเฉลี่ยระยะทางเสด็จฯเยี่ยมราษฎรคำนวณออกมาได้ประมาณ 25,000 กิโลเมตรต่อปี..เมื่อคูณกับ70 ปีที่ทรงครองราชย์ เท่ากับระยะทางที่เสด็จฯเยี่ยมเยียนราษฎรรวมแล้วทั้งสิ้น 175,000 กิโลเมตรหรือประมาณ 1.7แสนกิโลเมตรเรียกว่าสเด็จฯเกือบใกล้จะครึ่งทางระหว่างโลกกับดวงจันทร์..ซึ่งดวงจันทร์อยู่ห่างจากโลกประมาณ 3.8 แสนกิโลเมตร
ทั้งนี้ มีบันทึกไว้ว่า ในหลวงรัชกาลที่ 9เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรครั้งแรก ทรงเริ่มที่ภาคกลางเป็นภาคแรก เมื่อวันที่ 20 กันยายน2498 โดยเสด็จฯจังหวัดนครปฐมและสุพรรณบุรี
ที่อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี มีประชาชนมาเฝ้ารับเสด็จล้นหลามทั้งสองพระองค์เสด็จฯลงจากรถยนต์พระที่นั่ง มีพระราชปฏิสันถารกับราษฎร ในหลวงรัชกาลที่ 9รับสั่งถามหญิงชราคนหนึ่งว่า มีฝนตกลงมามากในระยะนี้ การทำนาและน้ำสำหรับรับประทานพอใช้ไหม?หญิงชราทูลว่า มีใช้พอเพียง
ในหลวงรัชกาลที่ 9 ถามต่อว่าอยู่ที่ไหน ทำมาหากินอะไร ? หญิงชราทูลตอบว่า“ตั้งร้านค้าขายอยู่ในตลาดจ๊ะ”
ทรงซักอีกว่า “ร้านใหญ่ไหม ?” หญิงชราทูลว่า “ก็ไม่ใหญ่นักหรอก แต่คงจะใหญ่คราวนี้เพราะได้เฝ้าในหลวง”
พระองค์ทรงพระสรวล แล้วเสด็จพระราชดำเนินทักทายราษฎรคนอื่นต่อไป
น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี