กรณีที่นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ทนายความอิสระที่เคยร้องให้มีการยุบพรรคก้าวไกลมาแล้ว ไปยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 10 ตุลาคมสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อให้สั่งให้นายทักษิณ ชินวัตร ผู้ถูกร้องที่ 1 และพรรคเพื่อไทย ผู้ถูกร้องที่ 2 เลิกการกระทำที่เป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพอันจะนำไปสู่การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 นั้น ถือว่าเป็นสิทธิและหน้าที่ของนายธีรยุทธตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ
ใครจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็อีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งแน่นอนว่าบริษัทบริวารของอดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร และบรรดา สส.และนักการเมืองของพรรคเพื่อไทย ย่อมต้องออกมาคัดค้านและด้อยค่าผู้ร้อง คือนายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ด้วยความเห็นต่างๆ นานา ถึงขนาดทำให้คนอาจคิดได้ว่านายธีรยุทธ“รับงาน”มาจากพรรคพลังประชารัฐ ที่เป็นคู่ขัดแย้งหลักของทักษิณและพรรคเพื่อไทยในเวลานี้
อย่างไรก็ตาม ผมเห็นว่าสิ่งที่นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร กระทำลงไปนั้นชอบแล้วด้วยประการทั้งปวง และคำร้องที่นายธีรยุทธผูกมัดเป็นปมให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญท่านวินิจฉัยรวม 6 กรณีนั้น เป็นเรื่องที่สังคมไทยรู้และเห็นเป็นประจักษ์ แต่ก็ไม่มีใครทำอะไรกับอดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ได้ แม้แต่องค์กรอิสระอย่าง กกต.ก็นิ่งดูดาย
สำคัญที่สุดก็คือ สำนักงานอัยการสูงสุดที่เป็นทนายของแผ่นดิน ซึ่งประชาชนคนไทยทั่วไปมีข้อกังขาถึงการทำหน้าที่ของหน่วยงานแห่งนี้อยู่เสมอมา โดยที่นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร เคยได้ยื่นคำร้องเรื่องนี้ต่ออัยการสูงสุดเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2567 จนครบกำหนด 15 วันนับแต่วันที่ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องต่ออัยการสูงสุดในวันที่ 9 ตุลาคม 2567 แต่อัยการสูงสุดก็มิได้มีความเห็นใดๆ ออกมา หรือจะกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้ชัดเจน
ด้วยเหตุนี้ นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ในฐานะผู้ร้องจึงใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 วรรคสาม ยื่นคำร้องโดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้มาตรา 49 วรรคสาม บัญญัติไว้ว่า “ในกรณีที่อัยการสูงสุดมีคำสั่งไม่รับดำเนินการตามที่ร้องขอ หรือไม่ดำเนินการภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับคำร้องขอ ผู้ร้องขอจะยื่นคำร้องโดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญก็ได้”
จากนี้ไปจึงเป็นดุลยพินิจของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้ง 9 ท่าน ว่าจะรับคำร้องของนายธีรยุทธ สุวรรณเกษร หรือไม่ หากไม่รับ คำร้องนี้ก็ตกไป หรือหากรับก็ดำเนินการต่อจนกว่าจะมีคำวินิจฉัยเป็นที่สิ้นสุด
คำร้องของนายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ทั้ง 6 กรณีนั้น ถือว่า“จัดหนัก” เพราะเป็นการร้องขอ ให้ผู้ถูกร้องเลิกการกระทำอันนำไปสู่การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามมาตรา 49 ของรัฐธรรมนูญ ซึ่งถ้าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยออกมาว่า “ทักษิณ ชินวัตร”และพรรคเพื่อไทย มีพฤติการณ์ตามที่นายธีรยุทธร้อง ก็คงจะนำไปสู่การร้องให้ยุบพรรคเพื่อไทย และเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทยที่มีนางสาวแพทองธาร ชินวัตร เป็นหัวหน้าพรรค เช่นที่พรรคก้าวไกลเคยถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยและนำไปสู่การถูกยุบพรรค และกรรมการบริหารรพรรคถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นเวลา 10 ปีมาแล้ว
นั่นก็หมายความทั้งพ่อและลูก คือ อดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร และนางสาวแพทอง ธารชินวัตร ที่จะต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วย ต้องรูดม่านปิดฉากทางการเมือง อาจจะ 10 ปี หรือเป็นการถาวร ขึ้นอยู่กับว่าผู้ร้องในขั้นต่อไปซึ่งเป็น“ดาบประหาร”ดาบสอง จะร้องว่าอย่างไร โดยร้องต่อ กกต.เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคและเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง 10 ปี และร้องต่อ ป.ป.ช.อีกทางหนึ่งเรื่องฐาน“ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง” เพื่อให้ดำเนินคดีอาญา พร้อมทั้งให้ศาลฎีกาเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งตลอดชีวิต
คำร้อง 6 กรณีที่นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ผูกมัดเป็นเปลาะๆ เหมือน“มัดตราสัง”อดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ผู้ถูกร้องที่ 1 และพรรคเพื่อไทย ผู้ถูกร้องที่ 2 โดยปรากฏตามคำร้อง 65 หน้า และเอกสารประกอบอีกจำนวน 443 แผ่น รวมคำร้องและเอกสารประกอบชุดละ 508 แผ่น จำนวน 10 ชุด รวมเอกสารทั้งสิ้น 5,080 แผ่น มีดังนี้
กรณีที่ 1. ผู้ถูกร้องที่ 1 ได้รับพระราชทานพระมหากรุณาอภัยลดโทษให้นักโทษเด็ดขาดชาย ทักษิณ ชินวัตร เหลือโทษจำคุกต่อไปอีก 1 ปี โดยพบว่าผู้ถูกร้องที่ 1 ใช้พรรคผู้ถูกร้องที่ 2 เป็นเครื่องมือควบคุม การบริหารราชการแผ่นดินสั่งการรัฐบาลผ่านกระทรวงยุติธรรม กรมราชทัณฑ์ โรงพยาบาลตำรวจ ให้เอื้อประโยชน์แก่ผู้ถูกร้องที่ 1 ให้เอื้อประโยชน์แก่ผู้ถูกร้องที่ 1 ระหว่างต้องโทษจำคุกได้พักอาศัยอยู่ห้องพัก ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ เพื่อไม่ต้องรับโทษอยู่ในเรือนจำแม้แต่วันเดียว เป็นการฝ่าฝืนไม่น้อมรับโทษจำคุกในเรือนจำตามพระบรมราชโองการ การกระทำของผู้ถูกร้องที่ 1 เป็นการกระทำที่ไม่บังควรอย่างยิ่งทำให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทและหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ส่งผลให้เกิดการเซาะกร่อน บ่อนทำลายพระเกียรติยศของสถาบันพระมหากษัตริย์ในที่สุด
กรณีที่ 2. ผู้ถูกร้องที่ 1 มีพฤติกรรมฝักใฝ่คบหาร่วมคิดกับสมเด็จฯฮุน เซน ซึ่งเป็นผู้นำทางการเมืองประเทศกัมพูชา อันมีระบบการปกครองที่ฝ่ายการเมืองมีอำนาจเหนือสถาบันพระมหากษัตริย์ และผู้ถูกร้องที่ 1 มีพฤติการณ์เป็นเจ้าของ ผู้ครอบครอง ผู้ครอบงำ และ เป็นผู้สั่งการ ผู้ถูกร้องที่ 2 เป็นเครื่องมือควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินสั่งการรัฐบาลให้เอื้อประโยชน์กับสมเด็จฯฮุน เซน ให้ประเทศกัมพูชาละเมิดอธิปไตยทางทะเลของไทย โดยให้มีการเจรจาพื้นที่ที่ฝ่ายกัมพูชาอ้างว่าเป็นเขตพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล (MOU 2544) เพื่อแบ่งผลประโยชน์ก๊าซธรรมชาติ และทรัพยากรใต้ทะเลในเขตอธิปไตยทางทะเลของไทยให้แก่ประเทศกัมพูชา
กรณีที่ 3. ผู้ถูกร้องที่ 1 สั่งการให้ผู้ถูกร้องที่ 2 ร่วมมือเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญกับพรรคประชาชน ซึ่งเป็นพรรคที่ก่อตั้งโดยกลุ่มการเมือง (พรรคก้าวไกลเดิม) ที่ต้องคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2567 ว่ามีพฤติการณ์ล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และผู้ถูกร้องที่ 1 มีพฤติการณ์เป็นเจ้าของ ผู้ครอบครอง ผู้ครอบงำ และ เป็นผู้สั่งการ ให้ผู้ถูกร้องที่ 2 เสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อเอื้อประโยชน์ต่อผู้ถูกร้องที่ 1 และพวก
กรณีที่ 4.ผู้ถูกร้องที่ 1 มีพฤติการณ์เป็นเจ้าของ ผู้ครอบครอง ผู้ครอบงำ และ เป็นผู้สั่งการแทน ผู้ถูกร้องที่ 2 ในการเจรจากับแกนนำของพรรคการเมืองอื่นที่ร่วมรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี เพื่อหารือการเสนอบุคคลผู้สมควรเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ เหตุเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2567 ที่บ้านพักส่วนตัวของผู้ถูกร้องที่ 1 (บ้านจันทร์ส่องหล้า)
กรณีที่ 5. ผู้ถูกร้องที่ 1 มีพฤติการณ์เป็นเจ้าของ ผู้ครอบครอง ผู้ครอบงำ และ เป็นผู้สั่งการ ให้ผู้ถูกร้องที่ 2 มีมติขับพรรคพลังประชารัฐออกจากพรรคร่วมรัฐบาลโดยผู้ถูกร้องที่ 2 ยินยอมกระทำการตามที่ ผู้ถูกร้องที่ 1 สั่งการ
กรณีที่ 6. ผู้ถูกร้องที่ 1 มีพฤติการณ์เป็นเจ้าของ ผู้ครอบครอง ผู้ครอบงำ และ เป็นผู้สั่งการให้ผู้ถูกร้องที่ 2 ซึ่งเป็นพรรคแกนนำรัฐบาล ให้นำนโยบายของผู้ถูกร้องที่ 1 ที่แสดงวิสัยทัศน์ไว้เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2567 ไปดำเนินการให้เป็นนโยบายคณะรัฐมนตรีที่แถลงต่อรัฐสภาในวันที่ 12 กันยายน 2567
ทั้ง 6 กรณีที่ว่ามานั้น ประชาชนคนไทยเห็นอยู่ตำตาและเชื่อว่าเป็นข้อเท็จจริง ตั้งแต่อดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร กลับเข้ามาในประเทศไทยเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2566 หลังจากหลบหนีโทษคดีทุจริตโกงชาติโกงแผ่นดินไปกว่า 15 ปี โดยหลอกศาลฎีกาฯว่าจะไปร่วมพิธีเปิดงานกีฬาโอลิมปิกในเดือนสิงหาคม ปี 2551 แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย
เรื่องนี้อีกไม่ช้าไม่นานก็คงได้รู้กัน ถ้าศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องก็ยาว เตรียมประชุมเพลิงได้ !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี