เป็นเรื่องที่ชวนให้คิดได้เช่นกันว่า ในอดีตกาลที่ผ่านมานั้นพระมหากษัตริย์ผู้ปกครองเมือง ทรงสร้างบ้านเมือง ทำนุบำรุง และต่อสู้กับข้าศึกศัตรูเพื่อจะรักษาชาติให้คงอยู่ตลอดมานั้น ได้รับความรู้ทั้งการบริหารบ้านเมืองและการรบมาได้อย่างไร ในเมื่อในอดีตที่ย้อนหลังไป ๗๐๐-๘๐๐ ปี ไม่ได้มีบันทึกไว้อย่างชัดเจนที่เกี่ยวกับเรื่องของการศึกษาของโรงเรียน ซึ่งเป็นสถานที่ให้ความรู้ในทุกๆ ด้านแก่พระองค์ ตลอดจนราษฎรด้วย
ย้อนประวัติศาสตร์ไปในสมัยอาณาจักรสุโขทัย พระมหากษัตริย์พระองค์หนึ่งที่มีพระปรีชาสามารถทั้งในเรื่องการสร้างบ้านเมือง การปกครอง รวมทั้งความสามารถในการรบก็คือ พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ได้มีบันทึกไว้ว่าพระองค์ได้ไปศึกษาเรื่องการสร้างและปกครองบ้านเมืองที่สำนักพระสุกทันตฤาษี เมืองละโว้ ซึ่งอยู่ภายใต้อาณาจักรขอม ในระยะเวลาใกล้เคียงกับพญามังรายผู้สร้างเมืองเชียงใหม่ และพญางำเมืองผู้สร้างเมืองพะเยา
ส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ได้กล่าวว่า ทั้งรัฐและวัดได้รวมกันเป็นศูนย์กลาง ของราษฎรในกิจการต่างๆ ซึ่งรวมทั้งการศึกษาด้วย โดยในอดีตสมัยนั้นการศึกษาจะเน้นเรื่องภาษาบาลี ภาษาไทย และวิชาทั่วๆ ไปนั้น จะถูกแบ่งออกเป็น ๒ สำนัก โดยวัดเป็นสถานศึกษาของราษฎรทั่วไปรวมทั้งบุตรหลานของขุนนาง โดยมีพระภิกษุที่เชี่ยวชาญด้านภาษาไทยและบาลีเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ อีกสำนักหนึ่งคือ สำนักราชบัณฑิต ซึ่งจะเป็นสถานที่สอนเฉพาะเจ้านายและบุตรหลานข้าราชการ และพงศาวดารก็ได้กล่าวถึงพระเจ้าลิไทแห่งกรุงสุโขทัย เมื่อยังทรงพระเยาว์นั้นก็ได้เล่าเรียนในสำนักราชบัณฑิตเช่นกัน
ในสมัยอยุธยา การศึกษาส่วนใหญ่ก็เกิดขึ้นในวัดเช่นเดียวกัน โดยพระภิกษุที่มีความสามารถด้านภาษาจะเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ให้กับทั้งราษฎร ซึ่งนิยมที่จะเอาลูกหลานไปฝากเรียนตามวัด ซึ่งนอกจากจะได้รับการสั่งสอนอบรมด้านศาสนาแล้ว ก็จะได้รับความรู้ด้านภาษาทั้งไทยและบาลีด้วย โดยการสอนส่วนใหญ่จะเป็นการสอนในกุฏิของพระนั่นเอง
ในแผ่นดินของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ พระองค์ให้ความสนใจในเรื่องการศึกษาเป็นอย่างมาก ได้มีการกำหนดว่าบุตรหลานของข้าราชการคนใดที่จะถวายตัวเข้ารับราชการ ถ้ายังไม่ได้อุปสมบทก็ยังจะไม่แต่งตั้งให้เป็นข้าราชการ เนื่องจากขณะที่อุปสมบทนั้นจะได้มีโอกาสศึกษาหาความรู้ด้านภาษาเป็นอย่างมาก
ในรัชกาลของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช การศึกษาเจริญมาก มีการสอนทั้งภาษาไทย บาลี สันสกฤต เขมร พม่า มอญ รวมทั้งภาษาฝรั่งเศสและจีน ซึ่งในยุคนั้นชาติไทยได้มีการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศอย่างมาก ในส่วนของภาษาต่างประเทศนั้นจะได้รับการสอนโดยเหล่ามิชชันนารีที่ต้องการจะเผยแพร่คริสต์ศาสนาอยู่แล้วด้วย ทั้งยังได้มีการศึกษาวิชาโหราศาสตร์และแพทยศาสตร์ด้วย มีการแต่งตำราเรียนภาษาไทยโดยพระโหราธิบดี ที่มีชื่อว่าหนังสือจินดามณี ซึ่งได้ใช้ในการศึกษาเล่าเรียนมาอย่างยาวนาน
ในสมัยของสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้เริ่มมีการสร้างโรงทานในวัด เพื่อให้ไว้เป็นที่สำหรับจัดอาหารคาวหวานเพื่อเลี้ยงพระสงฆ์ ข้าราชการและชาวบ้านที่มาปฏิบัติหน้าที่ต่างๆ จึงมีการใช้โรงทานตามวัดต่างๆ เป็นสถานที่ในการสอนหนังสือด้วย
พระมหากษัตริย์ไทยที่ได้ศึกษาภาษาต่างประเทศจนแตกฉานในระยะต้นๆ ของกรุงรัตนโกสินทร์คือ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รวมทั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชโอรส ซึ่งได้รับการสอนภาษาต่างประเทศจากนางแอนนา เอช เลียวโนเวนส์ ซึ่งเป็นครูสอนภาษาที่มีความสามารถมากตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ทำให้ทั้ง ๒ พระองค์ทรงสามารถที่จะติดต่อสื่อสารกับชาวต่างประเทศได้เป็นอย่างดี ดังนั้น เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จฯไปเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศแถบยุโรป จึงได้รับโอกาสในการเรียนรู้จากต่างประเทศอย่างมาก และได้นำวิชาการความรู้ต่างๆ มาสร้างความเจริญให้แก่บ้านเมืองอย่างมหาศาล
การสอนหนังสือโดยราชบัณฑิตและพระภิกษุสงฆ์ที่แตกฉานด้านความรู้ ได้ดำเนินสืบต่อกันมายาวนาน แม้แต่ในสมัยรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมหาราช ก็ยังมีการสอนโดยบัณฑิตอาจารย์ตามวัดต่างๆ แม้แต่พระและเณรที่อยู่ในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม จนต่อมาจึงมีการตั้งกระทรวงธรรมการ และมีการจัดตั้งโรงเรียนขึ้นเป็นครั้งแรกๆ อาทิ โรงเรียนสกูลหลวง ตั้งอยู่ข้างโรงละครเก่าในสนามวัดพระศรีรัตนศาสดาราม โรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ ซึ่งต่อมาคือ โรงเรียนสวนกุหลาบ โรงเรียนวัดมหรรณพาราม และโรงเรียนวัดบวรนิเวศ
ต้องบอกว่าในสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น พระองค์ท่านได้ให้ความสำคัญของการศึกษามาก ดังจะเห็นว่าได้ให้พระราชโอรสและพระราชวงศ์หลายพระองค์ศึกษาภาษาต่างประเทศ และส่งไปศึกษาต่อยังต่างประเทศเพื่อนำวิชาการความรู้ต่างๆ ที่มีความก้าวหน้ากว่าประเทศไทยในระยะนั้น กลับมาเพื่อใช้ในการพัฒนาประเทศ จนเกิดความเจริญก้าวหน้าขึ้นอย่างชัดเจน
จึงเห็นได้ว่าการศึกษาในอดีตกาลนั้น พระมหากษัตริย์และผู้ที่อยู่ในราชวงศ์ จะได้รับการศึกษาโดยมีโอกาสได้เล่าเรียนและรับการถ่ายทอดจากผู้มีชื่อเสียงในช่วงเวลานั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นจากพระผู้ใหญ่ บัณฑิตอาจารย์ หรืออื่นๆ ที่มีความรู้ความสามารถในด้านต่างๆ โดยเฉพาะ และมากเพียงพอในการที่จะถ่ายทอดความรู้ รวมทั้งประสบการณ์ในทุกๆ ด้านนั้น เพื่อจะทำให้ลูกศิษย์มีความสามารถอย่างแท้จริงต่อการที่จะนำความรู้นั้นๆ มาใช้ ในการปกครองและบริหารบ้านเมืองเพื่อให้ชาติมีความเจริญก้าวหน้าและประชาราษฎร์อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุขได้
หันมาดูเรื่องการจัดการศึกษาของชาติในขณะนี้ ก็ต้องบอกว่าตกต่ำกว่าที่ควรจะเป็นเมื่อเทียบกับหลายประเทศที่อยู่ข้างเคียง ยังมีเด็กอีกนับล้านคนที่ไม่ได้เข้าสู่ระบบการศึกษาที่เขียนไว้สวยหรู และเยาวชนที่จบการศึกษาในระดับปริญญาตรีจำนวนไม่น้อยไม่ได้มีคุณภาพดีพอที่จะประสบความสำเร็จในการประกอบอาชีพอันจะนำมาซึ่งการช่วยพัฒนาประเทศได้ ทำให้ส่วนหนึ่งกลับกลายเป็นภาระของสังคม
แม้แต่ผู้ที่มาเป็นผู้นำของรัฐบาลในขณะนี้ก็ยังมีประเด็นที่เคลือบแคลงต่อความรู้สึกของประชาชนในการสอบเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยว่าได้กระทำไปด้วยความสามารถของตนเองทั้งหมดหรือไม่ และประสบการณ์ในการบริหารบ้านเมืองก็ไม่เคยมีแม้แต่นิดเดียว
แต่ที่แย่มากก็คือการที่มีนักการเมืองอาวุโสทั้งหัวหงอกและหัวดำ ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ที่มีอุดมการณ์เรื่องสิทธิเสรีภาพและความยุติธรรมตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีความไม่พอใจในการบริหารบ้านเมืองของรัฐบาลในยุคนั้น จนเกิดการเดินขบวนเรียกร้องใหญ่ และนำมาสู่การเกิดเหตุการณ์ปราบปราม จึงหนีเข้าป่าเพราะกลัวจะถูกจับหรือทำร้าย แต่เมื่อมีโอกาสกลับมาเป็นนักการเมืองและบริหารบ้านเมือง กลับเห็นชอบที่จะให้บุคคลที่ไม่เคยมีประสบการณ์ในการบริหารบ้านเมืองแต่อย่างใดเพียงแต่มีอำนาจเงินมหาศาล ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากบิดาของตนที่เคยเป็นอดีตนายกฯ และได้กระทำ การทุจริตคอร์รัปชั่นเงินของประเทศจนถูกศาลสูงสุดตัดสินไปแล้วให้จำคุก แต่ก็ใช้อำนาจเงินสกปรกที่มีนั้นดำเนินการจนไม่ต้องติดคุกแม้แต่วันเดียว ได้ยอมให้คนคนนี้ที่ไม่มีความรู้ความสามารถแต่ประการใดมาเป็นผู้นำบริหารบ้านเมือง
การศึกษาทำให้คนมีความรู้ แต่คนที่ได้รับโอกาสในการศึกษาที่สูงพอสมควร ไม่รู้จักประเมินตนเองถึงความเหมาะสมที่จะมาเป็นผู้นำของประเทศ ทั้งๆ ที่เป็นผู้ที่ขาดประสบการณ์ และน่าจะบกพร่องในวุฒิภาวะตลอดจนจริยธรรมด้วย ตลอดจนอาจจะนำแนวทางบริหารที่ทำให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชั่นได้มาใช้อีก
ที่น่าสงสารมากในตอนนี้คือประชาชนคนไทยว่าจะมีความเป็นอยู่ที่ดีในอนาคตต่อไปได้อย่างไรเมื่อรัฐบาลไม่สามารถจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำได้ แต่ที่น่าสงสารมากที่สุดคือประเทศชาติของเราว่าจะเป็นอย่างไรต่อไปเมื่อต้องอยู่ภายใต้การนำของบุคคลผู้นี้ ซึ่งในเวทีของการประชุมนานาชาติก็ได้เห็นแล้วว่าเป็นอย่างไร ไทยจะเป็นประเทศที่อนาคตมีแต่ชนชาติอื่นเข้ามาอยู่อาศัย ปักหลักทำมาหากินจากทรัพยากรของชาติเรา หรือแม้แต่การที่อาจจะต้องตกอยู่ภายใต้การกำกับหรือสั่งการของประเทศมหาอำนาจของโลกทั้งหลาย ซึ่งล้วนแต่เป็นภัยแก่ความมั่นคงของชาติทั้งสิ้น
ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี