เป็นที่ทราบกันทั่วไปว่า ทักษิณ กับฮุนเซน นั้นรักใคร่ชอบพอกันมาก และยิ่งสนิทชิดเชื้อกันมากขึ้นเมื่อลูกหลานของทั้งสองฝ่ายแต่งงานกัน การชอบพอกันอาจจะมีสาเหตุมาจากการที่อุปนิสัยใจคอของทั้งสองมีความคล้ายคลึงกัน นั่นคือ ชอบอำนาจ อยากเป็นผู้ยิ่งใหญ่ เป็นจ่าฝูง เป็นหัวหน้า หรือเป็นผู้นำ ไม่ว่าจะทำงานทำการใดๆและทั้งสองต่างก็มีความคิดคล้ายคลึงกันว่า ตนเองเท่านั้นที่จะนำพาประเทศของตนได้ ซึ่งความก็ปรากฏเป็นจริงเช่นนั้นอย่างไม่เป็นที่ต้องสงสัย เพราะเป็นที่ประจักษ์อยู่ทั่วไปว่า ผู้ที่โด่งดังมีอิทธิพลมากที่สุดในสังคมการเมืองไทยก็คือ ทักษิณ ชินวัตร คู่ขนานไปกับที่กัมพูชา มี ฮุนเซนเป็นผู้นำสูงสุด
ทั้งสองก็ยังคบหาสมาคมกันต่อไป เพราะยังมีเรื่องราวหรือโครงการร่วมคิดร่วมทำค้างคาอยู่ เช่น โครงการพัฒนาอาณาบริเวณรอบๆ ปราสาทเขาพระวิหาร เพื่อให้เป็นแหล่งที่คนทั้งโลกจะต้องมาเยือน เพื่อความหรรษาอิ่มเอิบใจ ทั้งด้านประเพณีวัฒนธรรมความเชื่อถือ และทางด้านการบันเทิงสมัยใหม่ต่างๆ แล้วก็ยังมีเรื่องการนำเอาแก๊ส และน้ำมันธรรมชาติออกมาจากพื้นดินใต้ท้องทะเลในบริเวณอ่าวไทยที่ทั้ง 2 ประเทศยังจะต้องเจรจาแบ่งเขตแดนทางทะเลกันอยู่ โดยทั้ง 2 โครงการดังกล่าวจะนำมาซึ่งความมั่งมี มั่งคั่ง ยิ่งขึ้นไปอีกต่อครอบครัวตระกูลการเมืองทั้งสองอีกด้วย (แทนที่จะให้ประโยชน์แก่ประเทศ)
การขึ้นสู่สุดยอดของอำนาจของประเทศชาติของทั้ง 2 บุคคล เริ่มต้นจากสภาพการณ์ที่แตกต่างกันมาก ทักษิณ เติบโตจากครอบครัวคหบดี มีการศึกษาที่ดี และถือกระเป๋าเอกสาร (Briefcase) ติดตามเจ้านาย ที่บรรจุเอกสารสำคัญ และพันธบัตรราคาสูงส่วน ฮุนเซน เป็นลูกชาวบ้านถือปืนกลอาก้าตั้งแต่อายุ 15 ปี ทั้งสองคนต่างเติบโตไปตามเส้นทางทางการเมืองเป็นลำดับ แต่ ณ วันนี้ ฮุนเซน ดูจะก้าวไกลหรือแซงหน้าทักษิณ ดังจะเห็นได้ว่า ฮุนเซน สามารถกุมอำนาจเบ็ดเสร็จในกัมพูชา ในขณะที่ทักษิณยังเพียรพยายามต่อไปที่จะรวบอำนาจ ซึ่งก็คงไม่นานเกินรอ เพราะวันนี้ทักษิณสามารถตีตื้นขึ้นมาได้ในระดับหนึ่ง ดูจากการที่สามารถดลบันดาลให้บุตรีขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี ตามหลังที่ ฮุนเซน ได้สถาปนาให้บุตรชายขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีของกัมพูชาได้ก่อนร่วม 1 ปี
ก็มีคำถามตามมาว่า ทำไมฮุนเซน ถึงพิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์แห่งการเมืองของกัมพูชาได้ก่อนทักษิณของไทยเรา?
ก็พอจะประเมินประไมยเชิงคำตอบได้ว่าฮุนเซน เริ่มต้นชีวิตการเมืองด้วยการยึดมั่นในอุดมการณ์แบบมาร์กซิสต์ และจับอาวุธขึ้นต่อสู้กับพวกอำนาจเดิมของกัมพูชา และฉะนั้น ฮุนเซน เริ่มต้นชีวิตการเมืองด้วยการมีสมัครพรรคพวก มีผู้ร่วมอุดมการณ์และในที่สุดก็สามารถยึดครองกองทัพกัมพูชาเข้าไว้ในมือได้อย่างสัมฤทธิผล อีกทั้ง ฮุนเซน ได้จัดตั้งพรรคการเมืองคือ พรรคประชาชน ฮุนเซน จึงมีฐานทั้งทางด้านการเมืองและการทหาร และได้ใช้อำนาจในการขจัดคู่ต่อสู้ทางการเมืองต่างๆ ทั้งโดยวิถีทางนอกและในกฎหมาย ครอบงำกระบวนการยุติธรรมและองค์กรตรวจสอบอิสระ ไปจนถึงการครอบงำองค์กรศาสนา ตีกรอบฝ่ายสื่อและวิชาการ ไปจนถึงการปิดช่องทางความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประมุข กับประชาชน
กัมพูชา เป็นประเทศอาณานิคมของฝรั่งเศส ขนบธรรมเนียมประเพณีและความเชื่อถือต่างๆ ได้ถูกทำลายลง จนเมื่อได้รับเอกราช กัมพูชาก็เข้าไปอยู่ในสภาวะของสงครามกลางเมือง และได้รับผลกระทบโดยตรงจากสงครามอินโดจีน โดยเฉพาะในช่วงโลกยุคสงครามเย็น ทั้งหมดนี้ทำให้คำขวัญหรืออุดมการณ์แห่งชาติว่าด้วย “ชาติ ศาสน์ กษัตริย์” อ่อนเพลีย เจือจางลงไปโดยปริยาย อำนวยให้กลุ่มอำนาจนิยมหนึ่งใดสามารถก่อตัวและครอบงำประเทศได้
นัยหนึ่ง ณ วันนี้ กัมพูชาต้องตกอยู่ภายใต้ลัทธิฮุนเซน นิยม แต่ราชอาณาจักรไทยยังมิใช่รัฐล้มเหลว มิใช่รัฐแห่งความแตกหักล่มสลาย และฉะนั้นสังคมราชอาณาจักรไทยก็ยังจะคงอยู่และก้าวต่อไปได้ภายใต้บริบทของการมีส่วนร่วมของผู้เล่น หรือผู้มีบทบาทต่างๆ เป็นสำคัญ และฉะนั้นสังคมราชอาณาจักรไทยไม่มีที่ยืนให้กับลัทธิผู้นำนิยมแต่อย่างใด
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี