การสรรหาแต่งตั้งประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (ประธานบอร์ดแบงก์ชาติ) คนใหม่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ เพราะต้องเลื่อนการสรรหาแต่งตั้งออกไปก่อน ข่าวว่าอาจจะเลื่อนไปถึง 4 พฤศจิกายน 2567 ถามว่าทำไมต้องเลื่อน คำตอบน่าจะอยู่ที่ต้องเลื่อนเพราะลดกระแสการต่อต้าน กิตติรัตน์ ณ ระนอง ถามต่อไปว่าทำไมต้องเลื่อนเพราะกิตติรัตน์ คำตอบเรื่องนี้ต้องไปถาม สถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธ์ุ ประธานกรรมการสรรหาประธานบอร์ดแบงก์ชาติ
ย้อนกลับไปที่ประเด็นกิตติรัตน์ยังไม่พ้นบ่วงบูล็อค เพราะสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติแจ้งให้อัยการสูงสุดอุทธรณ์ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ในคดีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษายกฟ้องกิตติรัตน์ เมื่อครั้งที่กิตติรัตน์รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ สมัยยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ในข้อหาไม่สั่งให้ตรวจสอบการระบายข้าว 3 แสนตัน ในสต๊อกซึ่งดูเสมือนเอื้อประโยชน์ให้เอกชนเพียงรายเดียวคือบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด เพื่อนำไปปรับปรุงข้าวแล้วส่งออกไปยังอินโดนีเซีย จำนวน 3 หมื่นตันที่รู้จักกันในนาม BULOG
แต่ต่อมาเมื่อ 11 กรกฎาคม 2567 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษายกฟ้องกิตติรัตน์ โดยวินิจฉัยว่ากิตติรัตน์ไม่ได้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ และให้เหตุผลประกอบว่าเรื่องการส่งมอบข้าว และการซื้อขายข้าว และ ข้อมูลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องนั้น นายภูมิ สาระผล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นผู้รับทราบแล้วรายงานให้กิตติรัตน์ในฐานะรัฐมนตรีว่าการฯ รับทราบ และวินิจฉัยด้วยว่าข้อหาความเสียหายอย่างร้ายแรงให้ประเทศชาตินั้นไม่ต้องนำไปพิจารณา เพราะไม่มีผลต่อคดี สรุปคือในวันนั้น กิตติรัตน์รอดคดี เพราะศาลฎีกาฯ ยกฟ้อง และเห็นว่าไม่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
แต่ประเด็นสำคัญล่าสุดของเรื่องนี้อยู่ที่ ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติแจ้งให้อัยการสูงสุดอุทธรณ์เรื่องนี้ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาในเรื่องที่ศาลฎีกาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษายกฟ้องกิตติรัตน์ในคดีบูล็อค เรื่องนี้จึงกลายเป็นปมปัญหาสำคัญที่ประธานกรรมการสรรหาบอร์ดแบงก์ชาติต้องนำกลับไปพิจารณาทบทวน
นอกจากนั้นยังมีประเด็นที่ต้องนำไปพิจารณาทบทวนด้วยคือเรื่องที่กิตติรัตน์เคยเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ในยุคเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งเศรษฐาเพิ่งพ้นจากตำแหน่งไปเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2567 รวมถึงกรณีที่กิตติรัตน์เคยเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย และเป็นกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทยด้วย
ผู้ที่ติดตามเรื่องประธานบอร์ดแบงก์ชาติ มาโดยตลอดต้องทราบดีว่าชื่อของกิตติรัตน์นั้นถูกเสนอให้เป็นผู้ชิงตำแหน่งประธานบอร์ดแบงก์ชาติโดยส่วนของกระทรวงการคลัง ซึ่งก็นับเป็นเรื่องปกติที่กระทรวงการคลังจะเสนอชื่อจากฝั่งของตนไปประกบเพื่อชิงตำแหน่งประธานบอร์ดฯ จากอีกฝั่งหนึ่งที่เสนอโดยผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งล่าสุดมีรายชื่อผู้ชิงตำแหน่งนี้รวมสามคน คือ กิตติรัตน์ ณ ระนอง กุลิศ สมบัติศิริ อดีตปลัดกระทรวงพลังงาน และสุรพล นิติไกรพจน์ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
เป็นที่ทราบกันดีว่ากิตติรัตน์มีท่าทีต่อธนาคารแห่งประเทศไทย โดยเฉพาะกับผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยชัดเจนมาก โดยเฉพาะในเรื่องที่กิตติรัตน์เคยประกาศว่าต้องการเปลี่ยนตัวผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ในยามที่เขาเห็นว่าผู้ว่าการฯ ไม่ตอบสนองต่อข้อเรียกร้องของฝ่ายการเมืองในยุคที่กิตติรัตน์มีอำนาจรัฐ และเป็นที่ชัดเจนว่ากิตติรัตน์แสดงท่าทีกดดันโดยตรงต่อผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยมาแล้วอย่างชัดเจนคือในยุคประสารไตรรัตน์วรกุล และเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ
คำถามคือฝ่ายการเมืองมีอำนาจกดดันและบีบบังคับให้ธนาคารแห่งประเทศไทย ต้องสนองความต้องการทางการเมืองกระนั้นหรือ ธนาคารแห่งประเทศไทยจำเป็นต้องมีอิสระในการดำเนินงานตามหลักวิชาการและหลักความเป็นจริงตามสภาพเศรษฐกิจของประเทศ เพื่อให้นโยบายการเงินของประเทศเกิดคุณประโยชน์สูงสุดต่อสาธารณชน มิใช่หรือ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี