เมื่อได้อ่านข่าวที่พวกสนับสนุนทรัมป์ตีตราย้ำว่า “แฮร์ริส” คู่แข่งของทรัมป์ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่จะมีขึ้นในเดือนพฤศจิกายนเดือนหน้านี้ว่าเธอเป็นนักสังคมนิยม เป็น “คอมมิวนิสต์เต็มตัว” (Full communist)
ทำให้นึกถึงสมุดปกเหลืองเค้าโครงเศรษฐกิจ ที่เป็นการวางแผนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ฉบับแรกของประเทศสยามของหลวงประดิษฐ์ฯที่เป็น“โซเชียลิสม์อย่างอ่อนๆ” มีข้อเสนอ “ระบบสหกรณ์” ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นการนำระบบ “คอมมูน” ของประเทศจีน ที่เกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ.๒๕๐๑ หลังการเกิดขึ้นของสมุดปกเหลืองเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๖ แต่ระบบสหกรณ์ของท่านปรีดี พนมยงค์ นี้ได้รับการยกย่องนำไปเขียนเป็นตำราการเรียนระดับปริญญาเอกของประเทศฝรั่งเศส ที่มหาวิทยาลัย NICE ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นมหาวิทยาลัย COTE D AZUR ในวิชาเกี่ยวกับการพัฒนาและสันติภาพ โดยศาสตราจารย์ P FISTIE ดังมีรูปปกหนังสือที่หายากแล้วในขณะนี้
ประเทศไทยได้เคยให้ความสำคัญในระบบสหกรณ์เพราะจะเป็นรากฐานที่สำคัญในการปกครองระบอบประชาธิปไตยถึงขนาดจัดตั้งเป็นกระทรวงสหกรณ์โดยเฉพาะเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๐ และจัดตั้งวิทยาลัยสหกรณ์ขึ้นมาควบคู่กันไปต่อมาถูกยุบไปรวมอยู่ในกระทรวงเกษตรและถูกตัดคำว่า “สหกรณ์” ออกไปต่อมาได้จัดตั้งเป็นกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปัจจุบันเหลือเพียง ๒ กรม คือกรมตรวจบัญชีสหกรณ์และกรมส่งเสริมสหกรณ์ เท่านั้น
แต่ก็มี Fake News ว่าเป็น “คอมมิวนิสต์” โดยกลุ่มศักดินา นำโดยพระยามโนปกรณ์นิติธาดา พร้อมกันนั้น ได้ตราพระราชบัญญัติคอมมิวนิสต์ พ.ศ. ๒๔๗๖ ออกแถลงการณ์ประณามหลวงประดิษฐ์มนูธรรมผู้เขียนเสนอเค้าโครงสมุดปกเหลือง ว่าเป็น “คอมมิวนิสต์” และบังคับให้เดินทางออกนอกประเทศ และฝ่ายขุนนางเก่าได้ออกหนังสือ “สมุดปกขาว”โต้แย้งสมุดปกเหลืองเกือบทุกประเด็น รวมทั้งการจัดตั้งธนาคารแห่งชาติ แต่เห็นด้วยกับการออกสลากกินแบ่ง(ลอตเตอรี่)
ท่านพุทธทาสภิกขุ ได้ก่อตั้งสวนโมกข์ในปีเปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔๗๕ ได้ยืนยันว่า “...เจตนารมณ์ของสังคมนิยมมีอยู่ในพุทธศาสนา เพื่อเมตตา กรุณาต่อสิ่งทั้งปวง ยอมรับรู้ความเสมอภาคกัน” และปฏิเสธ “ประชาธิปไตยเสรีทุนนิยม” ตามทรรศนะของท่านพุทธทาสภิกขุ“รัฐบาลที่ชอบธรรมเกิดขึ้นจากการมีผู้นำทางการเมืองที่มีศีลธรรมและเอาใจใส่ต่อสวัสดิภาพของประชาชนมากกว่าผลประโยชน์ของตนเอง”
ท่านกล่าวถึงทฤษฎี “กำเนิดผู้นำทางการเมือง” โดยอ้างอิงตำนานจากพระไตรปิฎก (อัคคัญญสูตร) ว่า ในสมัยก่อน เมื่อมนุษย์อาศัยอยู่ในป่าโดยไม่มีวัฒนธรรมอย่างที่เรารู้จักกันในทุกวันนี้ มนุษย์มีทรัพยากรที่พอเพียงต่อความต้องการและอยู่กันอย่างสันติ ความเป็นสังคมนิยมแบบดั้งเดิมนี้ดำรงอยู่ จนกระทั่งมนุษย์เริ่มกักตุน ขโมย และทะเลาะเบาะแว้งอันเนื่องมาจากความโลภ (กิเลส) มนุษย์เอาเปรียบซึ่งกันและกัน จนเกิดความทุกข์ยาก “พระเจ้าสมมตติราช” กษัตริย์พระองค์แรกจึงได้เกิดขึ้น เพื่อนำสันติภาพกลับคืนมา
ท่านพุทธทาสภิกขุอธิบายต่อไปว่า อยู่มากระทั่งวันหนึ่ง มนุษย์หลุดปากออกมาว่า “พอใจ! พอใจ!”
คำว่า “พอใจ” นี้ที่เป็นภาษาบาลีว่า “ราชา” และคำว่า “รช” นั้นแปลว่า “พอใจ หรือ ยินดี” คำนี้ก็เกิดขึ้นมาเป็นชื่อเรียกของคนคนนั้น ....ที่ถูกสมมุตินั้นว่า “ราชา”
(บางตอนจาก “ธรรมิกสังคม” กับการเมืองไทย โดย ดร.ทวีวัฒน์ ปุณฑริกวิวัฒน์ ภาควิชามนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล)
ศาสตราจารย์พิเศษ
ดร.ปรีชา สุวรรณทัต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี