รายงานข่าว ระบุว่า การสรรหาประธานบอร์ด ธปท. คนใหม่ แทนที่ ดร.ปรเมธี ที่หมดวาระลงในเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา
ล่าสุด คณะกรรมการสรรหาประธานบอร์ด ธปท. ได้มีการเลื่อนการประชุมเคาะชื่อประธานบอร์ด ธปท. ไปเป็นวันที่ 4 พ.ย. เนื่องจากเลขานุการคณะกรรมการสรรหาฯ ต้องตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติม
เมื่อส่องดูแล้ว ปมที่ทำให้มีอาการ “สะดุด” ล้วนแต่เกี่ยวกับ “กรรมเก่า” ของผู้เกี่ยวข้องทั้งสิ้น
1. ความเหมาะสม เกี่ยวกับคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม ของทั้ง 3 รายชื่อที่ได้รับการเสนอเข้ามาในตำแหน่งประธานบอร์ด ธปท. ได้แก่
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรองนายกรัฐมนตรี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นรายชื่อที่ส่งมาโดยปลัดกระทรวงการคลัง ตามกฎหมายสามารถเสนอได้ 1 รายชื่อ
อีกสองรายชื่อ ได้แก่ ศ.ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ และนายกุลิศ สมบัติศิริอดีตปลัดกระทรวงพลังงาน อดีตอธิบดีกรมศุลกากร
สำหรับชื่อนายกิตติรัตน์ ซึ่งเป็นเต็งจ๋าในยุครัฐบาลเพื่อไทย ปรากฏว่า มีประเด็นเกี่ยวกับปูมหลัง ได้แก่
(1) กรณี ป.ป.ช. ส่งหนังสือแจ้งไปยังสำนักงานอัยการสูงสุด (อส.) ให้อุทธรณ์ต่อที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกา ในคดีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษายกฟ้องนายกิตติรัตน์ คดีข้าวบูล็อค ซึ่งขึ้นอยู่กับดุลพินิจของ อสส. ว่าจะยื่นอุทธรณ์หรือไม่?
และ (2) กรณีนายกิตติรัตน์เคยดำรงประธานที่ปรึกษาของอดีตนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน พ้นจากตำแหน่งมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปี หรือไม่?
ต้องติดตามว่า ผู้เกี่ยวข้องที่ต้องรับผิดชอบตามกฎหมาย จะพิจารณาอย่างไร?
2. ผู้เกี่ยวข้องต้องพิจารณารอบคอบ เพราะประธาน บอร์ด ธปท. เป็นตำแหน่งสำคัญ
ประการสำคัญ เกี่ยวกับการสรรหาบอร์ด ธปท.นั้น เคยมีกรณีศึกษาการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จนถูกศาลฎีกาฯ พิพากษาลงโทษจำคุกมาแล้ว
ครั้งนั้น นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เคยต้องคดีแทรกแซงการคัดเลือกกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิธนาคารแห่งประเทศไทย
จากกรณีเมื่อปี 2551 นพ.สุรพงษ์ แต่งตั้งประธานและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการ (บอร์ด)ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยมิชอบ
เนื่องจากคณะกรรมการคัดเลือกประธานและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในบอร์ดของ ธปท. บางรายมีลักษณะต้องห้าม ตามพ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ศ.2485แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2551
ศาลฎีกาฯ พิพากษาว่า นพ.สุรพงษ์ มีความผิด 157 ลงโทษจำคุก 1 ปี ปรับ2 หมื่นบาท แต่โทษจำคุกรอลงอาญา 1 ปี
3. ประธานกรรมการสรรหาฯ มีปมอาจต้องร่วมรับผิดชอบความเสียหาย ทศท.บางส่วน?
ในครั้งนี้ ประธานคณะกรรมการสรรหาประธานบอร์ด ธปท. ได้แก่ ดร.สถิตย์ลิ่มพงศ์พันธุ์ อดีตปลัดกระทรวงการคลัง
ปรากฏว่า กรณีเมื่อปี 2563 ในคดีแก้ไขสัมปทาน (ครั้งที่ 6) เพื่อลดอัตราส่วนแบ่งรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้าให้เอไอเอสโดยมิชอบ
ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาศาลฎีกา 3483/2563 ลงโทษจำคุกนายสุธรรม มลิลา อดีตผู้อำนวยการองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย (ทศท.) เป็นเวลา 6 ปี และให้ชดใช้ค่าเสียหายด้วย
นอกจากนี้ ยังชี้ว่ากรรมการ ทศท. จำนวน 7 คน ที่เข้าร่วมประชุมในคดีแก้ไขสัมปทาน (ครั้งที่ 6) จะต้องร่วมรับผิดในความเสียหายที่ ทศท. ต้องสูญเสียรายได้จากการที่คณะกรรมการองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย อนุมัติให้ลดอัตราส่วนแบ่งรายได้ให้แก่ AIS ดังกล่าว เป็นเงินจำนวน 66,060,686,735.94 บาท
ต่อมาในปี 2564 ป.ป.ช. ได้แจ้งผลคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3483/2563 ให้กระทรวงการคลังรับทราบ เพื่อดำเนินการปฏิบัติตามคำพิพากษาต่อไป
ล่าสุด แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยกับสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ว่า “ขณะนี้ กระทรวงการคลังได้รายงานความคืบหน้าการปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3483/2563 ต่อ สำนักงาน ป.ป.ช. ว่า กระทรวงการคลังได้ดำเนินการแจ้งให้ บมจ.โทรคมนาคมแห่งชาติ ในฐานะคู่ความในคดี ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ในการบังคับคดีตามคำพิพากษา และให้รายงานความคืบหน้าและผลการบังคับคดีให้กระทรวงการคลังทราบ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการบังคับคดี”
นอกจากนี้ กระทรวงการคลังยังได้แจ้งให้กรรมการผู้แทนกระทรวงการคลัง ในคณะกรรมการ บมจ.โทรคมนาคมแห่งชาติ และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ในฐานะกระทรวงเจ้าสังกัด ทราบและให้พิจารณาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ในการกำกับและติดตามการบังคับคดีตามคำพิพากษาอีกชั้นหนึ่งด้วย
โดยรายชื่อคณะกรรมการ ทศท. ในช่วงที่เวลาที่มีการอนุมัติให้แก้ไขสัมปทาน (ครั้งที่ 6) ดังกล่าวนั้น ปรากฏว่า มีชื่อนายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ ผู้แทนกระทรวงการคลังขณะนั้น เป็นกรรมการด้วย
และปัจจุบัน นายสถิตย์ มีชื่อเป็นประธานกรรมการสรรหาประธานบอร์ด ธปท.ด้วย
อย่างไรก็ตาม นายสถิตย์ไม่ได้ถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด และไม่ได้ถูกศาลพิพากษาว่ามีความผิดแต่อย่างใด
ในคดีที่นายสุธรรมถูกศาลฎีกาฯพิพากษานั้น นายสถิตย์ก็ไม่ได้ตกเป็นจำเลยด้วยยังไม่มีโอกาสชี้แจงต่อสู้ในศาลแต่อย่างใด
แต่ในคำพิพากษาของศาลฎีกา บางส่วนชี้ว่า
“...การที่จำเลย(นายสุธรรม) ลงนามในข้อตกลงท้ายสัญญาอนุญาตให้ดำเนินกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ครั้งที่ 6 กับบริษัทเอไอเอสมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2544 จนสิ้นสุดอายุสัญญาวันที่ 30 กันยายน 2558 เป็นผลให้สูญเสียรายได้จากส่วนแบ่งรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบจ่ายเงินล่วงหน้าจากบริษัทเอไอเอสในอัตราร้อยละ 20 คงที่ตลอดอายุสัญญาน้อยลงกว่าเดิมเมื่อเปรียบเทียบกับส่วนแบ่งรายได้ที่ควรได้รับตามสัญญาอนุญาตให้ดำเนินกิจการบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ลงวันที่ 27 มีนาคม 2533 ซึ่งเป็นสัญญาหลักอัตราร้อยละ 25 ถึง 30 เป็นเงินจำนวน 66,060,686,735.94 บาท และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันผิดนัดถึงวันที่ 4 กรกฎาคม 2559 อันเป็นวันที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอจำนวน 27,650,241,245.90 บาท รวมเป็นค่าสินไหมทดแทนจำนวน 93,710,927,981.84 บาทจำเลยจำต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวนดังกล่าวแก่ผู้ร้อง
อย่างไรก็ตาม ในการพิจารณาอนุมัติลดอัตราส่วนแบ่งรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้าที่บริษัทเอไอเอสต้องจ่ายให้แก่องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยจากอัตราร้อยละ 25 ตามสัญญาหลักเป็นอัตราคงที่ร้อยละ 20 จนเป็นเหตุให้องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยได้รับส่วนแบ่งรายได้น้อยลงจากเดิมที่ได้รับตามสัญญาหลักในปีที่ 11 ถึงปีที่ 15 อัตราร้อยละ 25 และปีที่ 16 ถึงปีที่ 20 อัตราร้อยละ 30 เป็นเงิน 66,060,686,735.94 บาท นั้น เป็นการพิจารณามติอนุมัติโดยคณะกรรมการองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย ซึ่งรวมทั้งจำเลยผู้เป็นกรรมการคนหนึ่งในจำนวน 8 คนในการประชุมคณะกรรมการองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยครั้งที่ 5/2544 เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2544 มิใช่การพิจารณาอนุมัติให้ลดอัตราส่วนแบ่งรายได้ให้แก่บริษัทเอไอเอสโดยจำเลยแต่เพียงผู้เดียว
กรรมการองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยจำนวนอีก 7 คน ย่อมมีหน้าที่ต้องรักษาผลประโยชน์ขององค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยเช่นเดียวกับจำเลย การที่บริษัทเอไอเอสขอลดส่วนแบ่งรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้าตามสัญญาหลักที่บริษัทเอไอเอสต้องจ่ายให้แก่องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยนั้นเห็นได้ในเบื้องต้นว่า หากคณะกรรมการองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยอนุมัติให้ลดส่วนแบ่งรายได้ตามสัญญาหลักให้แก่บริษัทเอไอเอสตามที่บริษัทเอไอเอสขอ ย่อมทำให้องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยได้รับรายได้น้อยลง กรรมการจำนวนอีก 7 คน ดังกล่าว จึงสมควรอย่างยิ่งที่จะต้องพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบถึงเหตุผลที่บริษัทเอไอเอสอ้างว่าองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยปรับลดอัตราค่าเชื่อมโยงโครงข่ายสำหรับการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้า “Prompt” ให้แก่บริษัททีเอซี จากอัตรา 200 บาท ต่อเลขหมายต่อเดือน เป็นอัตราร้อยละ 18 ของราคาหน้าบัตรนั้น ฟังขึ้นหรือไม่
โดยกรรมการจำนวนอีก 7 คน ควรต้องสอบถามจำเลยว่า เหตุผลที่บริษัทเอไอเอสอ้างดังกล่าว จำเลย(นายสุธรรม)ได้ตรวจสอบแล้วหรือไม่ว่า การกำหนดค่าเชื่อมโยงให้แก่บริษัททีเอซีจากอัตรา 200 บาท ต่อเลขหมายต่อเดือนเป็นอัตราร้อยละ 18 ของราคาหน้าบัตร เป็นการปรับลดอัตราค่าเชื่อมโยงโครงข่ายตามที่บริษัทเอไอเอสกล่าวอ้าง และควรสอบถามจำเลยด้วยว่า เท่าที่ผ่านมาบริษัทเอไอเอสกับบริษัททีเอซี บริษัทใดจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนให้แก่องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยมากกว่ากัน เพื่อประกอบการพิจารณาก่อนอนุมัติให้ปรับลดอัตราส่วนแบ่งรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้าตามสัญญาหลักให้แก่บริษัทเอไอเอส
แต่ไม่ปรากฏว่ากรรมการจำนวนอีก 7 คน ได้สอบถามข้อเท็จจริงดังกล่าวจากจำเลยก่อนพิจารณาลงมติอนุมัติให้ปรับลดอัตราส่วนแบ่งรายได้ตามสัญญาหลัก จากร้อยละ 25 ในปีที่ 11 ถึงปีที่ 15 และร้อยละ 30 ในปีที่ 16 ถึงปีที่ 20 ลงเหลือในอัตราคงที่ร้อยละ 20 ตลอดอายุสัญญาหลัก นับได้ว่ากรรมการจำนวนอีก 7 คน มีส่วนบกพร่องในการทำหน้าที่รักษาผลประโยชน์ขององค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยด้วย
กรรมการจำนวนอีก 7 คน จึงต้องร่วมรับผิดในความเสียหายที่องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยต้องสูญเสียรายได้จากการที่คณะกรรมการองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยอนุมัติให้ลดอัตราส่วนแบ่งรายได้ให้แก่บริษัทเอไอเอสดังกล่าวเป็นเงินจำนวน 66,060,686,735.94 บาท
....โดยจำเลย(นายสุธรรม) มีเจตนาเพื่อเอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัทเอไอเอส เป็นการกระทำที่จำเลยมีส่วนบกพร่องต่อหน้าที่ในการรักษาผลประโยชน์ขององค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยมากกว่ากรรมการจำนวนอีก 7 คน ที่มีส่วนบกพร่องต่อหน้าที่รักษาผลประโยชน์ขององค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย
กรณีจึงมีเหตุสมควรให้จำเลยร่วมรับผิดในความเสียหายที่องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยต้องสูญเสียรายได้จากการที่คณะกรรมการองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยอนุมัติให้ลดอัตราส่วนแบ่งรายได้ให้แก่บริษัทเอไอเอสไปเป็นเงินจำนวน 66,060,686,735.94 บาท เป็นจำนวนกึ่งหนึ่ง คิดเป็นเงินที่จำเลยต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ร้องจำนวน 33,030,343,367.97 บาท...”
เมื่อประธานคณะกรรมการสรรหาประธานบอร์ด ธปท.ในวันนี้ คือ หนึ่งใน 7 กรรมการ ทศท.ในวันนั้น
จึงมีคำถามเกี่ยวกับความสง่างาม ความเหมาะสม ในการทำหน้าที่สำคัญในปัจจุบันนั่นเอง
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี