“'ภูมิธรรม'รับห่วงป่วนใต้ลาม หลังคดีตากใบใกล้หมดอายุ ย้ำรัฐบาลเร่งตามผู้ต้องหา ไม่เคยละเลย”
ที่ยกมานั้นเป็นพาดหัวข่าว“หนังสือพิมพ์แนวหน้าออนไลน์”เมื่อวันที่ 21 ตุลาคมวานนี้ อ่านแล้วก็ได้แต่รู้สึกสมเพชเวทนา บุคคลที่ถือว่าเป็นผู้หลักผู้ใหญ่คนหนึ่งของบ้านเมืองนี้ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
นายภูมิธรรม เวชยชัย ให้สัมภาษณ์แบบขาดความรับผิดชอบ พยายามหาเหตุหาผลเพื่อเป็นข้อแก้ตัวให้แก่รัฐบาลและ“มาดามแพ”นายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับการปล่อยให้ พล.อ.พิศาล วัฒนวงษ์คีรี 1 ใน 7 จำเลย“คดีตากใบ” รวมทั้งจำเลยที่เป็นอดีตข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ทั้งทหาร, ตำรวจ และฝ่ายปกครอง อีก 6 คน หลบหนีไปได้อย่างลอยนวล ก่อนที่คดีนี้จะหมดอายุความ 20 ปีในวันที่ 25 ตุลาคมอีกสามวันข้างหน้าที่จะถึงนี้
“สหายใหญ่” หรือ“อ้วน-ภูมิธรรม”มีตำแหน่งในรัฐบาลชุดนี้ ใครก็รู้ว่าเป็นแค่ตัวตายตัวแทนของ“นายใหญ่-นายหญิง”แห่งบ้านจันทร์ส่องหล้า เพื่อทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงและคอยพิทักษ์ปกป้อง“คุณหนูอุ๊งอิ๊งค์”ที่เปรียบเสมือนนายกรัฐมนตรีฝึกงานเท่านั้น
ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลเรื่องความมั่นคง ทั้งกระทรวงกลาโหมและกองบัญชาการตำรวจแห่งชาติ, นายภูมิธรรม เวชยชัย ให้สัมภาษณ์สื่อเมื่อวันที่ 21 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยสื่อได้ถามว่า “คดีตากใบใกล้จะหมดอายุความ 20 ปี ในฐานะที่กำกับดูแลด้านความมั่นคง มีความกังวลการก่อเหตุความไม่สงบในพื้นที่หรือไม่” ซึ่งนายภูมิธรรมได้ตอบว่า “เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราเป็นห่วงและเฝ้าระวังอยู่แล้ว”
จากนั้นนายภูมิธรรม เวชยชัย ซึ่งนับวันก็ยิ่งแสดงตนให้เห็นว่าชาตินี้เกิดมาไม่มีใครจะเป็นผู้มีพระคุณยิ่งไปกว่า“นายใหญ่”ที่ชื่อ“ทักษิณ ชินวัตร”อีกแล้ว ว่า “จริงๆ แล้วการก่อเหตุในพื้นที่มีมาตลอด ไม่ใช่เพิ่งมามีในช่วงที่มีคดีตากใบ เป็นไปตามเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของผู้ก่อเหตุ สิ่งที่เรากำลังทำอยู่นี้ นายกรัฐมนตรีได้สั่งการไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งเรื่องหน่วยข่าว เพื่อหาข้อมูล ในถิ่นที่อยู่หรือพื้นที่ที่เคยไปของผู้ต้องหา ซึ่งขอให้เข้าไปดูในรายละเอียด และเข้าไปตามหมายศาล หรือหมายจับที่มีอยู่ โดยได้มีการกำชับให้เร่งจับกุมตั้งแต่วันแรกที่มีหมายจับออกมา”
จับเนื้อความจากคำสัมภาษณ์ของนายภูมิธรรม เวชยชัย ก็จะเห็นว่าเป็นแค่การออกตัวและแก้ตัวให้แก่รัฐบาลและนายกรัฐมนตรี โดยหาความจริงใจไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ใครก็รู้ว่ารัฐบาลโดยพรรคเพื่อไทย“ปล่อย”ให้ พล.อ.พิศาล วัฒนวงษ์คีรี ซึ่งเป็น สส.บัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทยหนีไปอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่นอยู่ในเวลานี้ และเมื่อถูกสังคมกดดันมากขึ้น ก็ใช้วิธีให้ พล.อ.พิศาล ยื่นใบลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย และมีผลต้องพ้นจากการเป็น สส.พร้อมกันไปด้วย
นายภูมิธรรม เวชชัย กล่าวว่า “เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย และไม่ใช่ว่าเราจะละเลยหรือไม่สนใจ ซึ่งก็เป็นเรื่องเหมือนคดีทั่วไป ที่จับได้บ้างและจับไม่ได้บ้าง ซึ่งตรงนี้ไม่ใช่ข้อแก้ตัว” และถึงแม้นายภูมิธรรมจะออกตัวว่าไม่ใช่ข้อแก้ตัว แต่มันก็คือการแก้ตัว
เพราะโดยข้อเท็จจริง เรื่องการติดตามจับกุมผู้ต้องหาหรือจำเลยที่หลบหนีคดีของเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้น ถ้าหากว่าตำรวจจะปฏิบัติหน้าที่ตามหน้าที่ที่มีอยู่อย่างเต็มกำลังสามารถโดยสุจริตแล้ว ต่อให้หลบหนีไปไกลแค่ไหนอย่างไรก็ย่อมติดตามและจับกุมตัวมาได้
ดูกรณีของ“ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”เป็นตัวอย่าง เป็นผู้ต้องโทษ 5 ปีหนีคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าว และมีหมายจับติดตัว ซึ่งหลบหนีออกจากประเทศไทยตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2560 จนถึงวันนี้ก็รวมเวลา 7 ปี 2 เดือน ปรากฏว่า ล่าสุดเมื่อวันที่ 21 ตุลาคมเมื่อวานนี้เอง เจ้าตัวเพิ่งจะโพสต์ข้อความพร้อมรูปถ่ายคู่กับบุตรชายลงในเฟซบุ๊ก“Yingluck Shinawatra” ว่า“วันนี้ได้ไปทานร้านข้าวโซอิ (Khao Soi) ในลอนดอนที่เจ้าของร้านมาเปิดบูธ ให้ชิมกัน ข้าวซอยเป็นเมนูที่ TasteAtlas จัดให้อยู่อันดับ 6 ของเมนูดีที่สุดในโลก ปี 2024”
ถามว่า ถ้า“ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ไม่ได้เป็นน้องสาวของอดีตนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร และเป็นอาของนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ“แพทองธาร ชินวัตร” ตำรวจไทยด้วยความร่วมมือของ“อินเตอร์โพล”จะยอมนั่งดูแบบหูหนวกตาบอด ปล่อยให้นักโทษโกงบ้านกินเมืองรายนี้นั่งยิ้มระรื่นกินอาหารอยู่กลางมหานครลอนดอน ในอังกฤษ หรือไม่ ?
ฉันใดก็ฉันนั้น พล.อ.พิศาล วัฒนวงษ์คีรี กับจำเลยคดีตากใบอีก 6 คน ก็ย่อมต้องหนีไปได้ และก็จะกลับเข้ามาในประเทศไทยหลังวันที่ 25 ตุลาคมเมื่อคดีหมดอายุความ
เท่ากับว่าคดีโศกนาฏกรรมตากที่เกิดขึ้นในวันที่ 25 ตุลาคม 2547 ซึ่งมีคนไทยมุสลิมในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เสียชีวิตแบบตายทั้งเป็น 78 ศพจากทั้งหมด 85 ศพ เพราะขาดอากาศหายใจจากการถูกถอดเสื้อจับมือมัดไขว้หลัง และคว่ำหน้าเรียงซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ มาบนรถบรรทุกทหารระหว่างขนย้ายข้ามจังหวัดนั้น เกิดเหตุการณ์สมัยพ่อแต่มาปิดดคีสมัยลูก
โดยที่จำเลยทั้ง 7 คนซึ่งศาลจังหวัดนราธิวาสประทับรับฟ้องคดีตั้งแต่เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2567 จากการยื่นฟ้องร้องของญาติผู้เสียชีวิตในฐานความผิด “ร่วมกันฆ่าผู้อื่น, ร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น, ร่วมกันทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงเเก่ความตาย และหน่วงเหนี่ยวกักขังเป็นเหตุให้ถึงเเก่ความตาย"-รอดคุกทั้งหมดโดยที่ไม่ต้องรอให้ศาลพิพากษาตัดสิน
บรรทัดนี้ฝากเป็นการบ้านให้ “แพทองธาร ชินวัตร” และนายภูมิธรรม เวชยชัย ไปถามบิดาและนายใหญ่ของตนที่ชื่อ“ทักษิณ ชินวัตร” ว่ากรณีคดีตากใบนี้ จะนับเป็นข้อยืนยันดังที่อดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณเคยพูดไว้โดยยกคำพูดของ“มงแต็สกีเยอ” (Montesquieu) นักปรัชญาการเมืองชาวฝรั่งเศสในศตวรรษที่ 18 มากล่าวอยู่เสมอได้หรือไม่ว่า “ไม่มีความเลวร้ายใด ที่จะยิ่งใหญ่ไปกว่าความเลวร้ายที่ได้กระทำโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมาย หรือในนามกระบวนการยุติธรรม”
นับจากนี้ไป คงไม่อาจปฏิเสธหรือหาข้ออ้างใดมาเบี่ยงเบนหรือหักล้างได้ ถ้าหากสถานการณ์ความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคมใต้ ที่ยะลา, ปัตตานี และนราธิวาส เกิดลุกโหมเป็นไฟถี่ขึ้น !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี