ปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจไทย ยังไม่ได้เลวร้าย ยังมีโอกาสพัฒนาเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างมีคุณภาพได้
แต่รัฐบาล ในฐานะผู้บริหารประเทศ จะต้องบริหารแบบมืออาชีพอย่างแท้จริง
ไม่ใช่แบบเด็กฝึกงาน พาร์ทไทม์
และต้องไม่เอาระบบเส้นสาย ผลประโยชน์ทับซ้อน หรือผลประโยชน์ทางการเมืองแบ่งเขาแบ่งเรา
ควรคิดถึงผลสำเร็จที่จะเกิดกับประเทศชาติส่วนรวมเป็นสำคัญ
1. ท่าทีและแนวทางที่ควรสนับสนุน
นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า สำหรับมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวในช่วงที่เหลือของปีนี้ รวมถึงแผนฟื้นฟูการท่องเที่ยวในพื้นที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย นายกฯ ได้ให้ไปทบทวนขยายขนาดโครงการ “แอ่วเหนือคนละครึ่ง” เพราะมองว่ารัฐบาลให้เงินสนับสนุน 400 บาทต่อคนต่อทริป จำนวน 10,000สิทธิ์์ โดยใช้งบประมาณของ ททท. รวม 4 ล้านบาท มีขนาดเล็กไป
ดังนั้น จึงมอบหมายให้กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ไปหารือกับกระทรวงการคลัง เพื่อหาแหล่งเงินในการทำโครงการเพิ่มเติม
เบื้องต้น ได้หารือกับนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง ไปแล้ว คาดจะใช้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ ปี’68 ซึ่งมีวงเงินคงเหลือ 1.87 แสนล้านบาท นำส่วนหนึ่งมาใช้ในโครงการนี้ โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) อยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูลสินค้าและบริการท่องเที่ยวในแอปพลิเคชั่นที่จะสามารถใช้จ่ายในโครงการ “แอ๋วเหนือคนละครึ่ง” ได้ อาทิ โรงแรม ที่พัก ร้านอาหาร
วัตถุประสงค์ของโครงการแอ่วเหนือคนละครึ่ง เปิดให้ประชาชนลงทะเบียนรับสิทธิ์เข้าร่วมโครงการได้ทั่วประเทศ แต่ประเด็นสำคัญไม่ได้เน้นให้คนกรุงเทพฯ บินไปเที่ยวภาคเหนือ เพื่อให้ได้ส่วนสนับสนุนจากรัฐบาล 400 บาท แต่เน้นให้ประชาชนในภูมิภาคเดียวกัน หรือจังหวัดใกล้เคียงเดินทางท่องเที่ยวระหว่างกันก่อน เพื่อกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายในเศรษฐกิจภูมิภาคเพิ่มเติม เพราะตอนนี้เราพูดถึงการฟื้นฟูการท่องเที่ยวภาคเหนือที่ถูกกระทบจากอุทกภัยก่อน จึงต้องช่วยผ่านโครงการนี้ก่อน
มีการประเมินการใช้สิทธิ์ แอ๋วเหนือคนละครึ่ง ไว้คือ จำนวน 7,000 สิทธิ์ ใช้จ่ายที่จังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย
ส่วนที่เหลือ อยู่จังหวัดใกล้เคียงในภาคเหนือ เพื่อประกาศความพร้อมในการเดินทางท่องเที่ยว
รมว.การท่องเที่ยวฯนายสรวงศ์ ยังกล่าวถึงโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” ที่จะฟื้นโครงการขึ้นมาใหม่ ซึ่งในรัฐบาลก่อน โครงการนี้รัฐบาลสนับสนุนวงเงินใช้จ่ายในโรงแรมที่พัก 40% ประชาชนจ่าย 60% และมีวงเงินใช้จ่ายในร้านอาหารที่เข้าร่วมโครงการได้ด้วย ตอนนั้นใช้งบราว 2 หมื่นล้านบาทแต่การปัดฝุ่นในครั้งนี้ กำลังอยู่ระหว่างศึกษาวงเงินที่เหมาะสมที่รัฐบาลจะสนับสนุนในโครงการนี้
เบี้องต้นยืนยันว่า เราเที่ยวด้วยกันเฟส ใหม่ จะเริ่มใช้ในปี 2568
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากโครงการใช้งบประมาณสูง อาทิ 2.2 หมื่นล้านบาทในเฟสล่าสุด จำนวนสิทธิ์ 5.6 แสนสิทธิ์ ถือเป็นโครงการใหญ่ ทำให้ต้องมีการหารือเพิ่มเติมในฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาวงเงินงบประมาณ จำนวนสิทธิ์ที่จะให้กับประชาชนเข้าร่วมโครงการ รวมถึงรูปแบบการใช้จ่าย ว่าจะผ่านช่องทางใด และรัฐบาลสนับสนุนที่ 40% เท่าเดิมหรือไม่ ซึ่งจะต้องหารือกันเพื่อความชัดเจนอีกครั้ง
นอกจากนี้ ภายในปลายเดือนตุลาคมนี้ รัฐบาลจะจัดการแถลงข่าวประกาศคิกออฟ ไทยแลนด์ วินเทอร์ เฟสติวัล 2567 เพื่อเตรียมความพร้อมให้กับผู้ประกอบการท่องเที่ยว รวมถึงนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติ วางแผนในการจัดงานท่องเที่ยวภายใต้โครงการหรือแคมเปญที่จะจัดขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้ ซึ่งเข้าสู่ช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว (ไฮซีซั่น) แล้ว ซึ่งถือเป็นแรงส่งไปยังปี 2568 ด้วย
2. ท่าทีข้างต้น เป็นเรื่องที่น่าชื่นชม สนับสนุน
โครงการอะไรที่ดี มีประโยชน์ สมควรนำกลับมาประยุกต์ใช้อีก ก็ควรดำเนินการ
ไม่ต้องไปกลัวรัฐบาลชุดที่แล้วจะได้คะแนนนิยม
เพราะคนทำ คือ รัฐบาลชุดปัจจุบัน ย่อมเป็นผลงานของรัฐบาลปัจจุบัน
การตัดสินใจที่กล้าทำเพื่อประเทศชาติส่วนรวม คือ พื้นฐานของความเป็นนักการเมืองที่ดี
3. โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการแจกเงินหมื่นกลุ่มเปราะบาง รัฐบาลก็รับฟังเสียงท้วงติงจากหลายฝ่าย จนปรับกรอบมาตรการ เพื่อความเหมาะสมไปจากเดิมแล้ว
โครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจเพื่อ “ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส” ก็เช่นกัน เป็นการดำเนินการที่ต่อเนื่องมาจากรัฐบาลก่อนหน้านี้
การลดต้นทุนให้ผู้ประกอบการรายเล็ก ลดค่าเช่าร้านค้า /ค่าเช่าแผง ในพื้นที่หน่วยงานราชการและพื้นที่เอกชนที่เข้าร่วม
การเพิ่มพื้นที่ค้าขายให้ผู้ประกอบการรายเล็ก ได้รับการสนับสนุนพื้นที่จากหน่วยงานราชการ และพื้นที่ของเอกชน ให้ผู้ประกอบรายเล็กมีช่องทางทำมาค้าขายเพิ่มขึ้น เช่น กระทรวงกลาโหมได้นำพื้นที่ค่ายทหารมาทำเป็นตลาดนัด กระทรวงมหาดไทยในการใช้ลานหน้าศาลากลางจังหวัด รวมไปถึงมีการจัดตลาดพาณิชย์กว่า 1,300 ครั้ง ในหลายพื้นที่ทั่วประเทศไทย เป็นต้น
การลดค่าครองชีพให้ประชาชน ได้รับการสนับสนุนจากเอกชนผู้ผลิตและผู้ค้าส่งรายใหญ่ ห้างสรรพสินค้า ผู้ให้บริการในปั๊มน้ำมันและแพลตฟอร์มค้าขายออนไลน์ เพื่อลดราคาสินค้าอุปโภค-บริโภค และจัดงานมหกรรมลดราคาสินค้า มีร้านสาขาย่อยกว่าแสนสาขาครอบคลุมทั้งประเทศ ให้ความร่วมมือในโครงการนี้
ทั้งหมด จะทำไม่ได้เลย ถ้าไม่ได้รับความร่วมมือกันจากทุกภาคส่วน
4. ยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุน 9 เดือน ปี 2567 เติบโตต่อเนื่อง เพิ่ม 42% เงินลงทุนกว่า 7.2 แสนล้านบาท
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ (มกราคม - กันยายน 2567) ตัวเลขคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งจำนวนโครงการและเงินลงทุน
โดยมีจำนวน 2,195 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 46 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
มูลค่าเงินลงทุนรวม 722,528 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 42 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
นับเป็นยอดลงทุนที่สูงสุดในรอบ 10 ปี
ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนถึงศักยภาพและพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ดีของประเทศไทย รวมทั้งความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อนโยบายรัฐบาลและมาตรการสนับสนุนของรัฐ ตลอดจนการดึงดูดการลงทุนเชิงรุกของรัฐบาลและบีโอไอ ได้ทำให้เกิดการลงทุนโครงการใหญ่ในอุตสาหกรรมใหม่ๆ จำนวนมาก เช่น เซมิคอนดักเตอร์และแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ดาต้าเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่ ยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วน และพลังงานหมุนเวียน
โดยมีการออกบัตรส่งเสริม ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ มีจำนวน 2,072 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 59 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เงินลงทุน 672,165 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 101 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
การออกบัตรส่งเสริม เป็นขั้นตอนที่ใกล้เคียงการลงทุนจริงมากที่สุด โดยปกติบริษัทต่างๆ จะเริ่มทยอยลงทุนภายใน 1-3 ปี หลังจากออกบัตรส่งเสริม
“โครงการที่ได้รับอนุมัติจากบีโอไอในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 จะมีการจ้างงานบุคลากรไทยเพิ่มกว่า 1.7 แสนคน จะใช้วัตถุดิบและชิ้นส่วนในประเทศประมาณ 8 แสนล้านบาทต่อปี และจะเพิ่มมูลค่าส่งออกของประเทศอีกกว่า 2 ล้านล้านบาทต่อปี” – เลขาฯบีโอไอกล่าว
5. กนง.ลดดอกเบี้ยนโยบายแล้ว
การประชุม กนง. ในวันที่ 16 ตุลาคม 2567 คณะกรรมการฯ มีมติ 5 ต่อ 2 เสียง ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 ต่อปี
จากร้อยละ 2.50 เป็นร้อยละ 2.25 ต่อปี โดยให้มีผลทันที
กนง.ชี้แจงเหตุผล ระบุว่า เศรษฐกิจไทยในภาพรวมมีแนวโน้มขยายตัวใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้ ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะทยอยกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในช่วงปลายปี 2567
ด้านกระบวนการปรับลดสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อรายได้ มีแนวโน้มเกิดขึ้นต่อเนื่อง
คณะกรรมการฯ เห็นว่า จุดยืนของนโยบายการเงินที่เป็นกลางยังเหมาะสมกับแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ
กรรมการส่วนใหญ่เห็นควรให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 ต่อปีในการประชุมครั้งนี้ ซึ่งจะช่วยบรรเทาภาระหนี้ได้บ้าง โดยไม่เป็นอุปสรรคต่อกระบวนการปรับลดสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อรายได้ ภายใต้บริบทที่สินเชื่อมีแนวโน้มขยายตัวชะลอลง และอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ลดลงอยู่ในระดับที่ยังเป็นกลางและสอดคล้องกับศักยภาพเศรษฐกิจ
มองว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้ที่ร้อยละ 2.7 และ 2.9 ในปี 2567 และ 2568 ตามลำดับ
โดยมีแรงขับเคลื่อนสำคัญมาจากภาคการท่องเที่ยว และการบริโภคภาคเอกชน ซึ่งได้รับแรงส่งเพิ่มเติมจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงการส่งออกที่ปรับดีขึ้นตามความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์
ทั้งนี้ เศรษฐกิจฟื้นตัวแตกต่างกันในแต่ละภาคส่วน โดยการส่งออกสินค้าและการผลิตภาคอุตสาหกรรมบางกลุ่ม รวมถึง SMEs ยังถูกกดดันจากปัจจัยเชิงโครงสร้าง
ภาวะการเงินโดยรวมตึงตัวขึ้นบ้าง อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเทียบดอลลาร์ สรอ. ปรับแข็งค่า ตามทิศทางนโยบายการเงินของประเทศเศรษฐกิจหลักและปัจจัยเฉพาะในประเทศ
ด้านต้นทุนการกู้ยืมของภาคเอกชนผ่านธนาคารพาณิชย์และตลาดตราสารหนี้ยังทรงตัวใกล้เคียงเดิม
สินเชื่อโดยรวมชะลอลง โดยเฉพาะสินเชื่อธุรกิจ SMEs กลุ่มธุรกิจที่เผชิญปัญหาเชิงโครงสร้าง รวมทั้งสินเชื่อเช่าซื้อและบัตรเครดิต
ด้านคุณภาพสินเชื่อปรับด้อยลง ส่วนหนึ่งมาจากลูกหนี้ที่เคยได้รับความช่วยเหลือทางการเงินในช่วงที่ผ่านมา และธุรกิจ SMEs และครัวเรือนที่รายได้ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่และมีภาระหนี้สูง
คณะกรรมการฯ ยังสนับสนุนนโยบายของ ธปท. ที่ให้สถาบันการเงินช่วยเหลือลูกหนี้ผ่านการปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาภาระหนี้ที่ตรงจุดและมีส่วนช่วยกระบวนการปรับลดสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อรายได้
ทั้งนี้ ต้องติดตามผลกระทบของคุณภาพสินเชื่อที่ด้อยลงต่อต้นทุนการกู้ยืมและการขยายตัวของสินเชื่อในภาพรวม รวมถึงนัยต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
ภายใต้กรอบการดำเนินนโยบายการเงินที่มีเป้าหมายรักษาเสถียรภาพราคา ควบคู่กับดูแลเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน และรักษาเสถียรภาพระบบการเงิน คณะกรรมการฯ เห็นว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายยังควรอยู่ในระดับที่เป็นกลางและสอดคล้องกับศักยภาพเศรษฐกิจ รวมทั้งไม่ต่ำเกินไปจนนำไปสู่การสะสมความไม่สมดุลทางการเงินในระยะยาว
สรุป เชื่อมั่นว่า ประเทศไทย ถ้ารัฐบาลไม่ดึงดันสร้างเงื่อนไขทางการเมือง บริหารเศรษฐกิจแบบมืออาชีพ ไม่ใช่เด็กฝึกงาน เศรษฐกิจไทยก็ยังพอมีโอกาสพัฒนาฟื้นฟูต่อไป
และผลงานโดยรวมก็จะเป็นของรัฐบาลด้วยนั่นเอง
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี