ถึงวันนี้หากต่อภาพทางการเมืองเหมือนการต่อจิ๊กซอว์รัฐบาลพรรคเพื่อไทย ภายใต้การบริหารของ“มาดามแพ” ที่มีอดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นบิดาคอยชักใยอยู่ข้างหลังในฐานะ“ผู้ครอบครอง” ก็พอจะมองเห็นที่มาที่ไป ว่าทำไมทักษิณจึงต้องเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
ทั้งที่หนึ่งปีบนเก้าอี้รัฐมตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของ“สุทิน คลังแสง” ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น ชนิดที่“บัวไม่ช้ำ-น้ำไม่ให้ขุ่น” ในฐานะนักการเมืองสายพลเรือนคนแรกที่เข้าไปนั่งตำแหน่งนี้ โดยที่ไม่มีตำแหน่งนายกรัฐมนตรีควบ เหมือนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมคนก่อนๆ ที่มาจากสายพลเรือน
แม้ผลงานของ“สุทิน คลังแสง"จะไม่โดดเด่นในสมัยรัฐบาล“เศรษฐา ทวีสิน” แต่ก็สามารถรักษาระยะระหว่างการเมืองกับกองทัพได้อย่างรู้จังหวะในการผ่อนปรนเข้าหากัน ไม่มีคลื่นใต้น้ำระหว่างสองขั้วอำนาจให้ประชาชนต้องรู้สึกอกสั่นขวัญแขวน ว่าวันหนึ่งอาจจะต้องไปถึงทางตันและหวนกลับไปสู่“วงจรอุบาทว์”เดิม
การเปลี่ยนรัฐบาลพรรรคเพื่อไทยจาก“รัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน”ที่ตกม้าตายโดยไม่มีใครคาดคิดมาก่อน ว่าจะเร็วได้ถึงขนาดนี้ด้วยระยะเวลาเพียงแค่หนึ่งปี มาเป็นรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่มี“แพทองธาร ชินวัตร”เป็นนายกรัฐมนตรี และเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จาก“สุทิน คลังแสง” มาเป็น“ภูมิธรรม เวชยชัย” ถือว่าเป็นเรื่องเดียวกัน และเป็นเป้าหมายสำคัญของอดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร
เพราะ“แพทองธาร ชินวัตร”เป็นนายกรัฐมนตรี“นอมินี”ของอดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ที่เจ้าตัวสามารถชักใยได้เหมือนผู้แสดงเอง ซึ่งต่างจากรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช, รัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ต้องคอยควบคุมสั่งการมาจากนอกประเทศ มิอาจกระชับอำนาจได้อย่างเต็มไม้เต็มมือ
“สุทิน คลังแสง”อาจจะ“อ่อนปวกเปียก”และแสดงบทในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมไม่ได้อย่างที่“ทักษิณ ชินวัตร” ซึ่งสังคมทั่วไปรู้ว่าเป็นเจ้าของพรรคเพื่อไทยที่เป็นหัวพรรคเพื่อไทยและนายกรัฐมนตรีตัวจริงคิด
การก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีของ“แพทองธาร ชินวัตร”เพราะ“พ่อจัดให้” ก็คือการหวนคืนกลับมาของ“ระบอบทักษิณ”อีกครั้ง ด้วยการดำเนินนโยบาย“ประชานิยมแบบทักษิณ” หรือ“ทักษิโณมิกส์”
เป็นการกลับมาเริ่มนับหนึ่งใหม่ต่อจากปี 2549 ที่รัฐบาลพรรคไทยรักไทยซึ่งมี“ทักษิณ ชินวัตร”เป็นนายกรัฐมนตรีถูกยึดอำนาจโดยคณะรัฐประหาร“คมช.”ในวันที่ 19 กันยายน 2549
ในปี พ.ศ.นี้แม้จะหมดยุคเรื่องการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ตลอดจนโครงการเมกะโปรเจกต์ ที่จะเป็นผลประโยชน์ทับซ้อนเหมือน“ระบอบทักษิณ”ในอดีต เนื่องจากสภาพการณ์ต่างๆ ตลอดจนภูมิรัฐศาสตร์โลกเปลี่ยนไป แต่แนวคิดของ“ระบอบทักษิณ”ยังไม่เปลี่ยน
นั่นก็คือภายใต้นโยบายของรัฐบาลพรรคไทยรักไทยที่มี“แพทองธาร ชินวัตร”เป็นหุ่นเชิด และมีวรรคทองที่ใช้เป็น“กลยุทธ์ทางการตลาด”เพื่อเรียกคะแนนนิยม ว่า“จะทำให้คนไทยมีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี”นั้น ก็คือผลประโยชน์ทับซ้อนจากนโยบายเร่งด่วนเรื่องที่สามของ“รัฐบาลมาดามแพ”
เป็นนโยบายที่เกี่ยวกับการพัฒนาระบบสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อความมั่นคงทางยุทธศาสตร์ของประเทศ ว่าด้วย“การสำรวจหาแหล่งพลังงานเพิ่มเติม และการเจรจาประเด็นพื้นที่ทับซ้อนกับกัมพูชา” ที่“แพทองธาร ชินวัตร”ได้แถลงต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2567
นโยบายนี้เป็นไปตามที่“ทักษิณ ชินวัตร”แสดงวิสัยทัศน์ในงาน “Nation TV Dinner Talk”เมื่อค่ำวันที่ 22 สิงหาคม 2567 ก่อนที่รัฐบาล“มาดามแพ”จะแถลงนโยบายต่อรัฐสภา โดยทักษิณได้ชี้ว่า รัฐบาลชุดใหม่ที่มี“แพทองธาร ชินวัตร”เป็นนายกรัฐมนตรี จะต้องเร่งดำเนินการ คือ “เรื่องพื้นที่อ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกันของไทยกับกัมพูชา” ( Overlapping Claims Area หรือ OCA )
อดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร กล่าวบนเวทีในการแสดงวิสัยทัศน์ในค่ำคืนนั้นว่า “เรื่องดังกล่าวไม่ใช่เรื่องของการแบ่งเส้นเขตแดน แต่เป็นเรื่องของการนำเอาทรัพยากรปิโตรเลียมที่มีอยู่ขึ้นมาใช้ โดยแบ่งปันผลประโยชน์ระหว่างกัน ฝั่งละ 50 ในลักษะเดียวกันกับที่มีการดำเนินการกับประเทศมาเลเซียมาแล้ว โดยหากไม่เร่งดำเนินการ น้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่มีอยู่ อีกไม่เกิน 20 ปีจะใช้ไม่ได้แล้ว จะต้องทิ้งให้เสียไปโดยเปล่าประโยชน์ เพราะอนาคตคนจะรังเกียจพลังงานจากฟอสซิล และหันไปใช้พลังงานสีเขียว (Green Energy) เพียงอย่างเดียว”
ดังนั้น อย่างที่กล่าวไว้ในตอนต้นว่า หากต่อภาพจิ๊กซอว์ทางการเมืองในเวลานี้ ก็จะเห็นว่าทำไมต้องมีการเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมจาก“สุทิน คลังแสง”มาเป็น“ภูมิธรรม เวชยชัย” เพราะการขับเคลื่อนเรื่องนี้ต้องเป็นคนที่ไว้วางใจได้ของ“ทักษิณ ชินวัตร” จากนโนยบายเร่งด่วนที่รัฐบาลได้แถลงต่อรัฐสภา ก็มาสู่การปฏิบัติอย่างรวดเร็วทันใจด้วยระยะเวลาแค่เดือนกว่าๆ หลังการแถลงนโยบายของรัฐบาล
โดยฟังได้จากที่“ภูมิธรรม เวชยชัย”มือวางของ“นายใหญ่-นายหญิง”แห่งบ้านจันทร์ส่องหล้า ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 25 ตุลาคมสัปดาห์ก่อน เรื่องปัญหาพื้นที่ทับซ้อนระหว่างไทยกับเขมร ที่บริเวณเกาะกูด จังหวัดตราด ซึ่งมีน้ำมันและก๊าซธรรมชาติมูลค่ามากกว่า“20 ล้านล้านบาท”เป็นขุมทรัพย์ใต้ทะเล ว่า เรื่องพื้นที่ทับซ้อนไม่ใช่ประเด็นปัญหา แต่ประเด็นสำคัญนั้นอยู่ที่ว่า จะนำก๊าซธรรมชาติที่อยู่ใต้ทะเลขึ้นมาใช้ประโยชน์ได้อย่างไรมากกว่า
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมนามว่า“ภูมิธรรม เวชยชัย” ที่มีอำนาจเต็มของฝ่ายไทยในการเจรจากับประเทศกัมพูชาเรื่องพื้นที่ทับซ้อน และเรื่องการแบ่งปันผลประโยชน์ขุมทรัพย์ใต้ทะเลบริเวณเกาะกูด กล่าวว่า “เรื่องเกาะกูด ชัดเจนมาตั้งแต่สมัยฝรั่งเศส ว่าเกาะกูดเป็นของไทย ตรงนี้ไม่ต้องห่วงว่าจะเสียเกาะกูดหรือไม่ ขออย่าหลงประเด็น”
“สหายใหญ่”อดีตนักศึกษาที่เคยเข้าป่าต่อสู้กับอำนาจรัฐไทยร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า “สิ่งสำคัญคือข้างล่างใต้ทะเลที่มีประโยชน์น้ำมันใช้ได้ ซึ่งอีก 10 ปีจะลดความสำคัญลง และตรงนี้กว่าจะตกลงกันได้หากเอาผลประโยชน์ขึ้นมา ก็ปาเข้าไป 5 ปี หากไม่ทำอะไรภายใน 10 ปี ก็ไม่มีความหมาย เพราะปัจจุบันมีรถไฟฟ้าเกิดขึ้น นี่คือสิ่งที่น่าเสียดาย ที่ประเทศชาติจะต้องสูญเสียทรัพยากรตรงนี้ไป”
ท้ายที่สุดนี้ คงต้องถามนายภูมิธรรม เวชยชัย ว่าผลประโยชน์ของชาตินั้น จริงๆ แล้ว เป็นผลประโยชน์ทับซ้อนของสองตระกูล คือ“ตระกูลชิน” กับ “ตระกูลฮุน”ที่จะต้องเสียไปใช่หรือไม่
จึงทำให้รัฐบาล“แพทองธาร ชินวัตร” ซึ่งตัวนายกรัฐมนตรีเป็นผู้สืบสันดานของอดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชิวัตร ต้องรีบดำเนินการเป็นนโยบายเร่งด่วน
ก่อนที่เงินจำนวนมหาศาลกว่า“20 ล้านล้านบาท”จะกลายเป็นเพียงแค่ฟอสซิลที่จมอยู่ใต้ทะเลต่อไป หากแต่เป็นคุณเป็นประโยชน์อันมหาศาลของมนุษยชาติ ในการศึกษาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของสิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้ !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี