แนวหน้า มั่นคง ตรงไป ตรงมา...nn การดำเนินชีวิตโดยใช้วิชาการอย่างเดียวยังไม่เพียงพอจะต้องอาศัยความรู้รอบตัว และหลักศีลธรรมประกอบด้วย ผู้ที่มีความรู้ดีแต่ขาดความยั้งคิด นำความรู้ไปใช้ในทางมิชอบ ก็เท่ากับเป็นบุคคลที่เป็นภัยแก่สังคมของมนุษย์...(ความตอนหนึ่งจากพระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 18 กันยายน 2504)...
nn คอข่าวการเมืองตั้งคำถามกันมากมายว่า ตกลงแล้วนายกรัฐมนตรีคนล่าสุดของไทยคือ ภูมิธรรม เวชยชัย กระนั้นหรือ เหตุที่ถามกันเช่นนี้ก็เพราะสังเกตเห็นเป็นประจำว่า ภูมิธรรมตอบคำถามจากนักข่าวสายทำเนียบรัฐบาลแทนแพทองธาร ชินวัตร (นายกรัฐมนตรีโดยตำแหน่ง) แล้วยังพบอีกว่าเมื่อแพทองธารไม่มีปัญญาตอบคำถามนักข่าว เธอจะโยนให้ภูมิธรรมตอบ โดยหลายคำถามที่ไม่เกี่ยวกับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ก็ยังเห็นว่าภูมิธรรมดันตอบเรื่องนั้นอีก พฤติกรรมแบบนี้ของภูมิธรรมสร้างความกังขาให้สังคมเป็นประจำ จนถึงกับมีคำถามว่าภูมิธรรมคิดว่าตัวเองเป็นนายกรัฐมนตรีหรืออย่างไร หรือคิดว่าตัวเองชื่อแพทองธาร หรือคิดว่าเมื่อรับใช้ทักษิณ ชินวัตร เจ้าของพรรคเพื่อไทยแล้ว ก็ต้องรับใช้ลูกสาวของทักษิณด้วย พฤติกรรมอย่างนี้เข้าข่ายทาสมากกว่ารองนายกรัฐมนตรี...
nn จับตาดูให้ดีว่าประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (ประธานบอร์ดแบงก์ชาติ) คนใหม่ล่าสุดจะเป็นใคร จะเป็นคนจากพรรคเพื่อไทยที่ชื่อกิตติรัตน์ ณ ระนอง ใช่หรือไม่ คาดว่าจะรู้เรื่องนี้ในวันที่ 4 พฤศจิกายน 2567 หากกิตติรัตน์ได้ตำแหน่งนี้ไปกิน ก็มีผู้คาดว่าอาจจะเกิดวิกฤตการณ์เศรษฐกิจครั้งใหม่ในประเทศไทย ธนาคารกลางของประเทศไทยจะถูกแทรกแซงโดยนักการเมืองจากพรรคเพื่อไทยอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะใครก็ตามที่เฝ้าสังเกตพฤติกรรมของกิตติรัตน์มาโดยตลอด ย่อมเห็นชัดว่ากิตติรัตน์จงใจแทรกแซงการทำงานของผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยมาโดยตลอด โดยเขาเคยประกาศชัดเจนว่าอยากปลดผู้ว่าฯ แบงก์ชาติวันละหลายๆ ครั้ง เพราะไม่พอใจที่ผู้ว่าฯแบงก์ชาติไม่ทำตามความต้องการของนักการเมืองพรรคเพื่อไทยที่เป็นรัฐบาล...
nn มีข่าวเล็ดลอดหลุดออกมาว่าการสรรหาประธานบอร์ดแบงก์ชาติครั้งนี้มีอำนาจการเมืองกดดันให้ต้องเลือกกิตติรัตน์ ส่วนเรื่องคุณสมบัติบางประการของกิตติรัตน์ที่ไม่น่าจะเอื้อกับการเป็นประธานบอร์ดแบงก์ชาติก็ยังคงเป็นเรื่องที่สาธารณชนตั้งคำถามตลอดเวลา โดยเฉพาะเรื่องความเป็นนักการเมืองของพรรคเพื่อไทย แต่ถึงแม้กิตติรัตน์จะอ้างว่าลาออกจากตำแหน่งต่างๆ ในพรรคเพื่อไทยแล้ว ก็ยังคงพบว่าเขามีความพัวพันข้องเกี่ยวกับพรรคเพื่อไทยตลอดเวลา และยังเป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจสมัยเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี และสังคมก็จำได้ดีว่ากิตติรัตน์แสดงพฤติกรรมแทรกแซงการทำงานของแบงก์ชาติตลอดเวลา...
nn มีผู้ถามว่าจะไปกลัวอะไรกับการที่กิตติรัตน์ได้เป็นประธานบอร์ดแบงก์ชาติ ก็มีคำตอบออกมาว่ากลัวพรรคเพื่อไทยใช้อำนาจรัฐครอบงำการทำงานของธนาคารกลางของประเทศ กลัวว่าความน่าเชื่อถือของต่างชาติที่มีต่อธนาคารกลางของไทยจะหมดไปและกลัวว่าอำนาจรัฐจะเข้าไปแทรกแซงการกำหนดเรื่องดอกเบี้ยนโยบายให้เป็นไปตามอำเภอใจของรัฐบาล แต่ที่น่ากลัวมากยิ่งกว่าคือกลัวว่านักการเมืองจะล้วงเอาเงินจากคลังหลวง หรือเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ จำนวน 9 ล้านล้านบาทออกไปถลุงเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของพรรคเพื่อไทย...
nn หากสังเกตให้ดีจะพบว่าขณะนี้พรรคเพื่อไทยส่งคนของตนเองเข้าไปคุมหน่วยงานสำคัญด้านเศรษฐกิจได้อย่างมีนัยสำคัญ เช่น ส่งศุภวุฒิ สายเชื้อ ไปคุมสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะประธานคณะกรรมการสภาพัฒน์ ถามว่าศุภวุฒิเป็นใคร คอการเมืองตอบตรงกันว่าเป็นคนของเพื่อไทย เพราะทำงานด้านให้คำปรึกษาด้านเศรษฐกิจกับเพื่อไทยมายาวนาน จนเคยมีข่าวว่าศุภวุฒิอาจจะได้ไปนั่งตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แต่หลายคนวิจารณ์ว่าศุภวุฒิใจไม่ถึงที่จะไปรับตำแหน่งรัฐมนตรี เพราะรู้ว่าอยู่ในตำแหน่งได้เพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น จึงขออยู่ในเงาต่อไป เพราะให้ผลดีกับตนเองมากกว่า เพราะอย่างน้อยก็ไม่ต้องถูกสื่อฯ รุมถามไม่ต้องถูกสังคมรุมประณาม ในกรณีที่ทำความผิดพลาดใดๆ ทางการเมือง...
nn ส่วนเรื่องตั้ง ปิ่นสาย สุรัสวดี (ลูกของปลอดประสพ สุรัสวดี อดีตผู้บริหารพรรคเพื่อไทยในขณะที่ ปิ่นสักก์ สุรัสวดี น้องชายปิ่นสายไปกินตำแหน่งอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) ถูกดันขึ้นไปกินตำแหน่งอธิบดีกรมสรรพากร กระทรวงการคลัง เรื่องการขึ้นตำแหน่งของลูกชายปลอดประสพถูกวิพากษ์อย่างมากในกระทรวงการคลังและกระทรวงทรัพยากรฯ แต่ประเด็นอยู่ตรงที่ทำให้เห็นชัดว่าขณะนี้พรรคเพื่อไทยส่งคนของตัวเองไปคุมหน่วยงานด้านเศรษฐกิจสำคัญของประเทศได้อย่างน่าสงสัยเป็นอย่างยิ่ง...
nn มีคนการเมืองฝากเตือนสติบรรดาข้าราชการที่ยอมทำตัวเป็นข้ารับใช้ทักษิณ ชินวัตร และคนในครอบครัวของทักษิณแบบไร้สติว่า ให้ดูกรณีของ เบญจา หลุยเจริญ อดีตอธิบดีกรมสรรพากร และอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรววการคลัง สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ให้จงดี จงรู้ไว้ว่าเบญจาต้องติดคุกเพราะทำเหตุทุจริตโดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยเหลือลูกของทักษิณ ชินวัตร ให้หลบเลี่ยงการจ่ายภาษี หากข้าราชการคนใดต้องการเดินตามรอยของเบญจาก็จงรู้ไว้ว่าคุกรออยู่ข้างหน้า...
nn ข่าวเรื่อง วิษณุ เลิศสงคราม ปลัดอำเภอท่าอุเทน นครพนม ผู้เป็นจำเลยคดีตากใบ แต่จงใจหนีหมายศาลจนคดีหมดอายุความ ครั้นเมื่อคดีหมดอายุความแล้ว ปรากฏว่าวิษณุกลับไปทำงานตามเดิม เรื่องนี้ปรากฏในข่าว ทำให้ อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย สั่งการให้ปลัดกระทรวงมหาดไทย อรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องนี้ต้องบอกว่าเรื่องนี้ดูๆ ไปแล้วก็นับว่าตลกร้าย เนื่องจากหน่วยงานต้นสังกัดของวิษณุอ้างว่าไม่สามารถติดต่อผู้ถูกออกหมายศาลรายนี้ได้เป็นเวลากว่า 10 วัน จนคดีสิ้นอายุความ คำถามคือติดต่อวิษณุไม่ได้ ก็หมายความว่าวิษณุจงใจขาดหรือหนีราชการใช่หรือไม่ ข้าราชการที่ขาดราชการหรือหนีราชการเป็นเวลานานกว่า 10 วัน ยังสามารถกลับมาทำงานได้ตามปกติหรือ เรื่องเช่นนี้ หากวิษณุสามารถกลับเข้ารับราชการได้ตามปกติก็ต้องตั้งคำถามไปยังผู้บริหารสูงสุดของกระทรวงมหาดไทยว่า มันเป็นไปได้อย่างไรกัน หากรายนี้ทำผิดแล้วกลับไปรับราชการได้ตามเดิม ก็หมายความว่าคนมหาดไทยคนอื่นๆ ก็สามารถหนีหายจากการทำงานไปนานกว่า 10 วันแล้วกลับไปทำงานได้ตามปกติ ใช่หรือไม่...
nn เมื่อ 23 ตุลาคม 2567 อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย ไปพบ ฮุน มาเนต (สมเด็จมหาบวรธิบดีฮุน มาเนต)นายกรัฐมนตรีประเทศกัมพูชา ข่าวบอกว่าคุยกันเรื่องสารพัดเรื่อง เช่น ร่วมมือต่อต้านอาชญากรรมข้ามประเทศ พัฒนาการค้าชายแดนของสองประเทศ การพัฒนาด้านความร่วมมือศิลปวัฒนธรรมการท่องเที่ยว แต่ไม่มีข่าวว่าได้พูดคุยถึงเรื่องการนำก๊าซธรรมชาติ และน้ำมันในใต้ทะเลขึ้นมาใช้ด้วยหรือไม่ แต่อนุทินบอกว่าขอให้ ฮุน มาเนต ช่วยสนับสนุนการเจรจาทุกประเด็นระหว่างไทยกับกัมพูชาให้บรรลุเป้าหมาย คำถามคือฮุน มาเนต ได้หารือกับอนุทินเรื่องพรมแดนไทย-กัมพูชาด้วยหรือไม่...
nn ปิดท้ายด้วยผลโพลล์สำรวจคะแนนนิยมผู้ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระหว่าง กมลา แฮร์ริส จากพรรคเดโมแครตกับ โดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน (อ้างอิงจาก TheNew York Times) โดยเป็นผลของวันที่ 30 ตุลาคม พบว่าแฮร์ริสมีคะแนนนำทรัมป์เพียง 1 เปอร์เซ็นต์ คือ 49 ต่อ 48 แต่เมื่อเจาะดูผลจาก battleground states เช่น Wisconsin และ Michigan ผลคือแฮร์ริสชนะทรัมป์ 49 ต่อ 48 ส่วน ส่วนรัฐที่มีผลคะแนนเท่ากันคือ Nevada และ North Carolina ส่วน Pennsylvania ทรัมป์ชนะแฮร์ริส 49 ต่อ 48 แต่ที่ Georgia และ Arizona ทรัมป์ชนะแฮร์ริส 50 ต่อ 48 และ 50 ต่อ 47 ตามลำดับ แต่อย่างไรก็ตาม ต้องจับตาดูผลการเลือกตั้งจริงที่น่าจะรู้ผลในช่วงไม่เกิน 6-8 ตุลาคม ตามเวลาสหรัฐฯส่วนคนที่ติดตามการรณรงค์หาเสียงจากสื่อฯ ต่างๆ ในครั้งนี้จะพบว่าทรัมป์มักใช้คำหาเสียงที่ส่อไปในทางเหยียดหยันเพศ และแบ่งแยกเชื้อชาติ รวมถึงส่อไปในทางอคติในเรื่องต่างๆ เป็นประจำ...nn
ธรรมกร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี