เรื่องขุมทรัพย์พลังงานใต้ทะเลที่เกาะกูด จังหวัดตราด มูลค่ากว่า“20 ล้านล้านบาท”..หากย้อนหลังกลับไปดู..จะเห็นว่าอดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ใช้วิธีเล่นแร่แปรธาตุในเชิงนโยบายทับซ้อน..เพื่อหวังประโยชน์มาตั้งแต่สมัยที่เป็นนายกรัฐมนตรีของรัฐบาลพรรคไทยรักไทย ระหว่างปี 2544-2549
ชัดเจนที่สุดก็คือ “MOU 44” ที่รัฐบาลพรรคไทยรักไทยของทักษิณ ชินวัตร ได้ไปลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยกับกัมพูชาที่มี“ฮุนเซน”เป็นนายกรัฐมนตรี
เป็นการลงนามเพื่อความเข้าใจร่วมกันถึงการมีอยู่ของ“พื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน”..ซึ่งมีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 26,000 ตารางกิโลเมตร
ทั้งที่ โดยข้อเท็จจริงประเทศกัมพูชานั่นเองเป็นต้นเหตุของการอ้างพื้นที่ทับซ้อน..เพราะต้องการจะ“ปล้น”ทรัพยาการปิโตรเลี่ยมใต้ท้องทะเลของไทยในพื้นที่ดังกล่าว..แต่รัฐบาลพรรคไทยรักไทยที่มีอดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี..กลับไปลงนามใน“MOU 44”
การลงนามใน “MOU 44” ก็เท่ากับยอมรับอย่างเป็นทางการถึงการมีอยู่ของพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อน..ที่ประเทศกัมพูชาอ้างสิทธิเรื่องเส้นกำหนดเขตไหล่ทวีปในปี 2515 โดยผ่ากลางเกาะกูดตรงไปกลางอ่าวไทย..ซึ่งพูดให้ชัดก็คือ เป็นการยอมรับเส้นพาดผ่านเกาะกูดครึ่งหนึ่ง..โดยที่รัฐบาลไทยสมัยรัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจร ไม่ยอมรับ และดำเนินการเป็นขั้นเป็นตอนในเวลาต่อมา..ทั้งนี้ ในปี 2516 ได้กำหนดเขตไหล่ทวีปด้านอ่าวไทยไว้เป็นที่ชัดเจน
ที่สำคัญที่สุดก็คือบันทึก“MOU 44” ยังเท่ากับว่ารัฐบาลพรรคไทยรักไทยสมัยที่อดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี..ยอมรับแผนที่แนบท้ายของบันทึกร่วมฉบับนี้ ที่ได้รวมเอาน่านน้ำภายในของจังหวัดตราด เกาะกูด และทะเลอาณาเขตของไทยเข้าไปด้วย
“MOU 44” จึงเหมือนใบเบิกทางที่จะนำไปสู่การ“ปล้น”ขุมทรัพย์พลังงานใต้ทะเลของพวก“จัญไรอัปรีย์”ทั้งฝ่ายไทยและฝ่ายกัมพูชา..แม้ว่าในปี 2552 สมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คณะรัฐมนตรีจะมีมติเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2552 ให้ยกเลิก“M0U 44”ไปแล้วก็ตาม..แต่รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ต้องพ้นไปก่อนที่จะได้มีการดำเนินการอย่างถึงที่สุด และรัฐบาลชุดต่อมา คือ“รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ก็ไม่ได้ดำเนินการสานต่อแต่อย่างใด
และก็ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมถึงไม่ดำเนินการสานต่อ..เพราะ“MOU 44”เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทยที่มีอดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี..ดังนั้น เมื่อรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เข้ามา..ก็ยิ่งทำให้สะดวกในการที่จะเดินหน้าต่อ..เพื่อไปสู่เป้าหมายการปล้น“ขุมทรัพย์ใต้ทะเลเกาะกูด”
หากย้อนกลับไปดูข้อมูลในช่วงที่“ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”เป็นนายกรัฐมนตรี“หุ่นเชิด”ให้“ทักษิณ ชินวัตร”ผู้เป็นพี่ชาย..ที่หลบหนีโทษคดีทุจริตโกงบ้านกินเมืองอยู่ในต่างประเทศเวลานั้น..ก็พอจะต่อภาพให้เห็นถึง“ไอ้โม่ง”ที่หวังจะได้ประโยชน์จากขุมทรัพย์ใต้ทะเลบริเวณเกาะกูด..ซึ่งเป็นเขตอธิปไตยของไทยอย่างชัดเจนมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5
โดยเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2554 “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้เดินทางไปเยือนกัมพูชา..พร้อมกับที่“ทักษิณ ชินวัตร”ซึ่งเป็นนักโทษหนีคดี..ได้บินโฉบไปที่กรุงพนมเปญในวันรุ่งขึ้น..เพื่อร่วมสัมมนา“เรื่องอนาคตของเอเชียในด้านเศรษฐกิจ” ที่มีกำหนดการระหว่างวันที่ 16-24 กันยายน 2554
การเคลื่อนไหวของ“ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” และ“ทักษิณ ชินวัตร” ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่“ฮุนเซน”นายกรัฐมนตรีกัมพูชาในเวลานั้น..ถูกจับตาเรื่อง“ขุมทรัพย์ใต้ทะเลเกาะกูด”ของไทย..เพราะคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่“Steve Glick” ประธานของ“กลุ่มเชฟรอน” (Chevron) ได้บินตรงจากสหรัฐฯเข้าไปปฏิบัติภารกิจพิเศษในกัมพูชาช่วงนั้นพอดี
“กลุ่มเชฟรอน”เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่สัญชาติอเมริกัน ที่ได้รับสัมปทานขุดเจาะน้ำมันทั้งในประเทศกัมพูชา และประเทศไทยในบริเวณทะเลอ่าวไทย
โดยเฉพาะในประเทศกัมพูชานั้น..“กลุ่มเชฟรอน” ถือว่าเป็นกลุ่มธุรกิจพลังงานหลักที่ลงทุนในกัมพูชามากที่สุด และมีผลประโยชน์ร่วมกับ“ฮุนเซน”..ซึ่งกลุ่มเชฟรอนได้เริ่มสำรวจหาแหล่งน้ำมันและก๊าซในเขตไหล่ทวีปของกัมพูชามาตั้งแต่ปี 2545..และนี้ก็หมายถึงพื้นที่ทับซ้อนที่เกาะกูดด้วย..ซึ่ง“กลุ่มเชฟรอน”และผู้ร่วมทุนได้รับสัมปทานจากรัฐบาลไทย
การปรากฏตัวของ“ฮุนเซน”ซึ่งบินตรงมาจากกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2567 ที่บ้านจันทร์ส่องหล้าทันทีที่“ทักษิณ ชินวัตร”ได้รับการพักโทษ...การไปเยือนกัมพูชาของ“แพทองธาร ชินวัตร”ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทยในเวลาต่อมา..ก่อนเป็นนายกรัฐมนตรี..ก็คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรือเป็นเรื่องปกติที่ควรจะเป็นอีกเช่นกัน
และจาก 3 ปรากฏการณ์ดังกล่าว..เมื่อมาถึงวันนี้, รัฐบาลของ“มาดามแพ”ก็กำลังสานต่อเกี่ยวกับการแบ่งปันผลประโยชน์เรื่องพลังงานแบบ“ไทยครึ่งหนึ่ง-เขมรครึ่งหนึ่ง”ที่เกาะกูด..ภายใต้นโยบาย“เพื่อความมั่นคงทางยุทธศาสตร์ของประเทศ” เกี่ยวกับการพัฒนาระบบสำรองน้ำมันเชื้อเพลิง..ซึ่งเป็น “1ใน 10”นโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลที่ได้แถลงต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2567
ดังนั้น ถ้าหากว่ารัฐบาลไทยในยุคนี้..ที่“ทักษิณ ชินวัตร”ประกาศว่าเป็นผู้ครอบครอง“แพทองธาร ชินวัตร”นายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นลูกสาวที่สืบทอดสันดาน..และรัฐบาลกัมพูชาที่“ฮุนเซน”เป็นผู้ครอบครอง“ฮุน มาเนต”นายกรัฐมนตรีในฐานะบิดา..สามารถเจรจาตกลงแบ่งปันผลประโยชน์ในพื้นที่ทับซ้อนที่เกาะกูดได้..คงไม่ต้องบอกว่าใครจะได้ประโยชน์
ที่แน่ๆ ก็คือ“กลุ่มเชฟรอน”และผู้ร่วมทุนได้ประโยชน์ร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม..ซึ่งก็คงต้องตามไปดูต่อว่า..ผู้ร่วมทุนกับ“กลุ่มเชฟรอน”มีนามสกุล“ชินวัตร” และนามสกุล“ฮุน”รวมอยู่ด้วยหรือไม่ ?
ส่วน“ภูมิธรรม เวชยชัย” ควรหยุดใช้จินตนาโทษฝ่ายโน้นฝ่ายนี้..แล้วแก้ตัวแบบที่คนจับได้ไล่ทัน..ดังที่ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 30 ตุลาคมเมื่อวานนี้ว่า “วันนี้มีแต่คนพูดถึงเกาะกูด และรัฐบาลขอยืนยันว่าเรารักษาอธิปไตยของชาติอย่างเต็มที่ เราจะไม่ยอมให้แผ่นดินของเรา ไม่ว่าส่วนไหนตกไปของคนอื่น ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐบาลอยู่แล้ว”
ขอให้มันจริงเถอะ“อ้วน-ภูมิธรรม”..และก็ควรไปกระซิบที่ข้างหู“นายใหญ่-ทักษิณ ชินวัตร”..ว่า“จบได้แล้วครับนาย” ไม่เช่นนั้นจะไม่มีแผ่นดินอยู่ !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี