เมื่อเราคนไทยยืนยันว่าเกาะกูดเป็นของประเทศไทย เราไม่ใช่คนคลั่งชาติอย่างแน่นอน เพราะเราไม่ได้บอกว่าพระตะบอง เสียมราฐ ศรีโสภณ เป็นของไทย (ในยุคนี้) เพราะฉะนั้น รัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีคนใดก็ตามที่บอกว่าคนไทยที่ยืนยันหนักแน่นว่าเกาะกูดเป็นของคนไทย เป็นของไทย คือพวกคลั่งชาติ (chauvinism)ก็ต้องบอกว่ารัฐมนตรี และรองนายกรัฐมนตรีคนนั้นน่าจะเข้าข่ายคนขายชาติ เพราะสมบัติของไทย แผ่นดินของไทย คนไทยต้องรักษาไว้ให้จงได้
การที่ทักษิณ ชินวัตร เจ้าของพรรคเพื่อไทยกล่าวในงาน Dinner Talk ซึ่งจัดที่สยามพารากอนเมื่อไม่นานมานี้ แล้วย้ำว่าต้องนำก๊าซธรรมชาติและน้ำมันที่อยู่ใต้ทะเลในอ่าวไทยขึ้นมาใช้ก่อนที่จะไม่มีการใช้พลังงานจำพวก fossil fuel ในอนาคต แต่ทักษิณกล่าวว่าทรัพยากรดังกล่าวอยู่ในเขตพื้นที่ทับซ้อนของไทยกับกัมพูชา ก็ต้องถามว่าการที่ทักษิณบอกว่าเป็นพื้นที่ทับซ้อนนั้น หมายความว่าพื้นที่ส่วนใดเกิดการทับซ้อนกันอยู่ แล้วการที่พูดเช่นนั้น หมายความว่าเราจะต้องยอมให้พื้นที่ทับซ้อน (ตามความคิดของทักษิณ) ตกไปเป็นของกัมพูชา กระนั้นหรือ
ไม่ใช่เรื่องผิดหรือเสียหายที่ทักษิณจะพยายามนำทรัพยากรด้านพลังงานในอ่าวไทยขึ้นมาใช้ แต่ปัญหาอยู่ตรงที่ทักษิณ (ในนามของรัฐบาลไทย) ไปทำข้อตกลง
ใดๆ กับกัมพูชา แล้วทำให้ไทยต้องเสียดินแดนไปหรือไม่มันไม่มีประโยชน์อะไรเลยหากจะได้ทรัพยากรด้านพลังงานมาใช้ แต่สุดท้ายแล้วไทยต้องเสียดินแดนให้กัมพูชา เพราะฉะนั้น จึงต้องกลับไปพิจารณาให้ลึกซึ้งว่าการทำ MOU 44 (Memorandum Of Understanding) ในสมัยที่ทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นการทำให้ไทยต้องเสียดินแดนหรือไม่
มีคำถามมาตั้งแต่สมัยที่ทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีว่าไทยกับกัมพูชามีพื้นที่ทับซ้อนกันในเขตทะเลมากมายตั้ง 26,000 ตารางกิโลเมตร จริงหรือ ถามย้ำว่าทักษิณเอาอะไรมาเป็นหลักฐานยืนยันว่าไทยกับกัมพูชามีพื้นที่ทับซ้อนในเขตทะเลตั้ง 26,000 ตารางกิโลเมตร เพราะฉะนั้น จึงทำให้เกิดคำถามตามมาว่าการประกาศดังกล่าวโดยทักษิณเป็นการกระทำที่สุจริตจริงหรือ การอ้างเรื่องแบ่งปันผลประโยชน์ด้านเศรษฐกิจ และการอ้างเรื่องการเจรจาเขตแดน ตาม MOU 44 เป็นเรื่องน่ากังขามาก เพราะไม่น่าจะเป็นไปตามหลักกฎหมายทางทะเล และไม่น่าจะเป็นการรักษาเขตอธิปไตยของไทย อีกทั้งยังมีข้อน่าสงสัยในเจตนาแอบแฝง และยังมีประเด็นความไม่โปร่งใสในการทำ MOU 44 อีกด้วย จนทำให้เกิดคำถามว่า ตกลงแล้วการทำ MOU 44 เป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของประเทศ หรือผลประโยชน์ของทักษิณ และพรรคเพื่อไทยกันแน่
มีคำบอกกล่าวจากสมชาย แสวงการ อดีต สว. บอกว่าไม่มีพื้นที่ทับซ้อนใดๆ ระหว่างไทยกับกัมพูชาในเขตทะเลอ่าวไทย และเกาะกูดเป็นของไทยมาโดยตลอด โดยอ้างอิงจากสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1703 (พ.ศ. 2453) ซึ่งเป็นการทำข้อตกลงว่าสยามยอมยกดินแดนพระตะบอง เสียมราฐ ศรีโสภณให้ฝรั่งเศสเพื่อแลกกับจันทบุรี ตราด และเกาะกง ที่ฝรั่งเศสใช้อำนาจยึดไว้ ดังนั้น จึงไม่สมควรที่ไทยในยุคนี้จะต้องเสียดินแดนใดๆให้กับกัมพูชาอีกต่อไป
ว่ากันตามจริงแล้ว สยามไม่ควรเสียเกาะกงให้ฝรั่งเศส เพราะมีข้อตกลงในสนธิสัญญาแล้ว แต่สุดท้ายฝรั่งเศสก็ยึดเกาะกงไปจากสยาม อดีตนั้นเกาะกงคือเมืองปัจจันตคีรีเขตร เป็นเมืองคู่แฝดกับประจวบคีรีขันธ์ เพราะอยู่แนว latitude (ละติจูด) เดียวกัน
กลับไปที่ประเด็นพรรคเพื่อไทยพยายามอ้างพื้นที่ทับซ้อนในเขตทะเลระหว่างไทยกับกัมพูชาทั้งๆ ที่ไม่มีพื้นที่ทับซ้อน ก็น่าจะทำให้คนไทยเห็นแล้วว่าพรรคเพื่อไทยมีเจตนาอย่างไรกับการอ้างดังกล่าว ต้องยืนยันว่าการอ้างดังกล่าวนั้นไม่ได้ให้ผลดีต่อประเทศไทยแม้แต่น้อย เพราะจะทำให้กัมพูชาใช้เป็นข้ออ้างในการอ้างสิทธิ์เพื่อครอบครองดินแดนของไทยได้ด้วย น่าสงสัยว่าทำไมพรรคเพื่อไทยและทักษิณจึงอ้างเรื่องพื้นที่ทับซ้อน แล้วอ้างว่าต้องนำก๊าซธรรมชาติและน้ำมันในพื้นที่ทับซ้อนขึ้นมาใช้ แต่ไม่ว่าทักษิณและพรรคเพื่อไทยจะอ้างเรื่องพื้นที่ทับซ้อนอย่างไร ก็ต้องย้ำว่าในความเป็นจริงไม่มีพื้นที่ทับซ้อนตามคำอ้างเหล่านั้น และต้องยืนยันด้วยว่าการที่คนไทยรักษาดินแดนไทยเอาไว้ ไม่ใช่การคลั่งชาติตามคำกล่าวหาของคนขายชาติ และต้องย้ำว่าการที่รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีกลาโหมกล่าวหาว่าคนไทยที่พยายามรักษาดินแดนไทยเอาไว้เป็นคนคลั่งชาติก็อาจจะทำให้คนรักชาติโดยแท้จริงมองและเข้าใจว่านักการเมืองคนดังกล่าวว่าเป็นคนขายชาติ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี