วันนี้เป็นหมอเดาทำนายผลเลือกตั้งในสหรัฐที่จะมีขึ้นในวันที่ 5 พฤศจิกายน พิเคราะห์ตามคะแนนนิยมของโพลล์สำนักต่างๆ ที่เผยแพร่ออกมา รองประธานาธิบดี กมลาแฮร์ริส มีคะแนนนำ อดีตประธานาธิบดี ทรัมป์ 49 ต่อ 47% หากมองจากการเลือกตั้งระบอบประชาธิปไตยในหลายประเทศทั่วโลก แฮร์ริส น่าจะเป็นประธานาธิบดีหญิงคนแรกของสหรัฐอเมริกา
แต่ในความเป็นจริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ เนื่องจากว่าอเมริกาได้นำระบบเลือกตั้งแบบโบราณมาประยุกต์ใช้ทำให้การจัดตั้งและล็อบบี้ทำได้ง่ายกว่าการเลือกตั้งทั่วๆ ไป กล่าวคือ ระบบเลือกตั้งในอเมริกาใช้คะแนน Electoral College Vote หรือ กลุ่มบุคคลที่มีหน้าที่ไปลงคะแนนเลือกตั้ง แทนเสียงของคนทั้งหมดที่มาใช้สิทธิ์เป็นสำคัญและคะแนนจาก Electoral Vote มีเพียง 538 คน ดังนั้น ผู้สมัครคนไหนล็อบบี้ จัดตั้ง หรือซื้อเสียง ได้ 270 คน ก็ได้เป็นประธานาธิบดีแล้ว
ในยุคที่เทคโนโลยีล้ำสมัย สงสัยว่าทำไมอเมริกายังใช้ Electoral Vote ซึ่งเป็นวิธีที่ใช้มาตั้งแต่เลือกตั้งครั้งแรก คือ เมื่อสองร้อยปีก่อนสหรัฐอเมริกายังใช้เกวียนเป็นพาหนะเดินทาง ผู้มีสิทธิเลือกตั้งในชนบทห่างไกลจึงมอบหมายให้ผู้ที่ตื่นรู้ทางเมืองเป็นผู้เลือกตั้งแทนพวกตน นี่คือที่มาของผู้มีหน้าที่ลงคะแนนแทนเสียงของคนทั้งหมด ที่สมัยใหม่ประยุกต์เป็น Electoral College Vote
หากเปรียบเทียบแบบชาวบ้าน Electoral Vote ในอเมริกา ก็คล้ายๆ กับการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาพิสดารของไทย ที่ให้ผู้สมัครเลือกกันเอง แทนผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด การเลือกตั้งวิธีนี้ทำให้สามารถจัดตั้ง หรือซื้อเสียงได้ง่ายกว่า ซื้อเสียงจากประชาชนจากเขตเลือกตั้ง ตัวอย่างคือเหมือนเลือกกำนัน ที่ให้ผู้ใหญ่บ้าน 10 หรือ 20 คนเลือกกำนันแทนชาวบ้านนับหมื่นคน
ถึงได้พูดแต่ต้นว่า แฮร์ริสอาจชนะป๊อปปูล่าร์โหวตแต่ โดนัลด์ ทรัมป์ อาจได้เป็นประธานาธิบดี ซึ่งเหมือนกับเลือกตั้งปี 2016 ที่ฮิลลารี คลินตัน ได้คะแนนป๊อปปูล่าร์โหวตมากกว่า ทรัมป์ 2 ล้านคะแนน แต่แพ้ Electoral Voteให้ทรัมป์ 276 ต่อ 218 เสียง สุดท้ายนายทรัมป์ ได้เป็นประธานาธิบดี การเลือกตั้ง 2024 จึงหวั่นใจว่าประวัติศาสตร์อาจซ้ำรอย
ผลสำรวจความคิดเห็นที่เผยแพร่โดย CNN ล่าสุด ชี้ให้เห็นว่า การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 2024 กำลังเข้าสู่ช่วงการแข่งขันที่ดุเดือด โดย “กมลา แฮร์ริส” จากพรรคเดโมแครต มีคะแนนนำ “โดนัลด์ ทรัมป์” จากรีพับลิกัน โดยผลการสำรวจแสดงให้เห็นว่า 49% ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งสนับสนุน แฮร์ริส ขณะที่ 47% สนับสนุนทรัมป์
หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ แฮร์ริส มีคะแนนนำคือการสนับสนุนจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เป็นผู้หญิง โดยในกลุ่มผู้หญิงอิสระ แฮร์ริส มีคะแนนนำถึง 51% ขณะที่ทรัมป์ได้เพียง 36% ส่วนในกลุ่มชายอิสระ ทรัมป์ได้เปรียบที่ 47% ต่อ 40% ซึ่งชี้ให้เห็นถึงการแบ่งแยกทางเพศที่ชัดเจนในแง่ของความนิยม
เมื่อแยกตามเชื้อชาติ แฮร์ริส ได้รับการสนับสนุนอย่างท่วมท้นจากกลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้งชาวแอฟริกันอเมริกัน 79% และกลุ่มลาติน 59% ในขณะที่ทรัมป์มีคะแนนสนับสนุนในกลุ่มเหล่านี้เพียง 16% และ 40% ตามลำดับ นอกจากนี้ กลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่อายุต่ำกว่า 30 ปียังสนับสนุนแฮร์ริสอย่างชัดเจน โดย 55% สนับสนุนแฮร์ริส และมีเพียง 38% ที่สนับสนุนทรัมป์
มองจากผลสำรวจของโพลล์ต่างๆ นักวิเคราะห์วิจารณ์ฟันธงว่า แฮร์ริส จะชนะเลือกตั้ง ซึ่งก็ไม่ต่างกับนักวิเคราะห์ในเมืองไทย ที่ฟันธงว่า นายสมชายวงศ์สวัสดิ์ จะเป็นประธานวุฒิสภา แต่ผลที่ออกมานายสมชายได้คะแนนน้อยกว่าพ่อค้าเขียงหมู นี้คือผลการสำรวจเฉพาะในส่วนความนิยม ซึ่งเหมือนกับการสำรวจในอเมริกาที่มองข้ามคะแนนจากการจัดตั้ง
ยังมีปัจจัยอีกหลายอย่างที่คิดว่า นายทรัมป์น่าจะชนะ ปัจจัยแรก คือ คนอเมริกันเหมือนม้าถูกครอบตาที่ไม่มองซ้ายมองขวา คนอเมริกันแท้ส่วนใหญ่ยังคิดว่าอเมริกา เป็นศูนย์กลางจักรวาล คนอเมริกันไม่ศึกษาเรื่องนอกบ้านพูดง่ายๆ คือคนอเมริกันมองไม่พ้นชายคาบ้านตัวเอง
ทรัมป์จับนิสัยถาวรของอเมริกันแท้ได้ จึงบัญญัติคัมภีร์ว่า “อเมริกาต้องยิ่งใหญ่ อเมริกาต้องมาก่อน” นี่คือคัมภีร์ที่มัดใจอเมริกันแท้ ทรัมป์ จึงมีนโยบายกีดกันการค้า ดึงอุตสาหกรรมใหญ่จากต่างประเทศกลับมาไว้ในอเมริกา อ้างว่าสร้างงานให้คนอเมริกันเพิ่มขึ้น คำปราศรัยง่ายๆ ของเขาคือ
“หลังจากใช้เวลาสร้างความมั่นคงพัฒนาประเทศอื่นหลายปี บัดนี้เรามาสร้างสิ่งเหล่านั้นในบ้านของพวกเรา ในประเทศเรา ปกป้องชายแดนของพวกเรา และปกปัองบ้านเมืองของเรา เราต้องไม่ถูกรุกราน ไม่ถูกยึดครอง เราจะเป็นผู้พิชิต เราเสรีและมีความภาคภูมิอีกครั้ง..”
ทรัมป์ ไม่คลั่งสิทธิมนุษยชน เขากีดกัน ไม่ให้ผู้อพยพเข้าอเมริกา ถึงขั้นสร้างกำแพงกั้นชายแดนอเมริกากับเม็กซิโก ซึ่งเป็นที่ถูกใจอเมริกันขวาจัดคลั่งชาติ ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ในประเทศ อเมริกันคลั่งชาติขวาจัดเหล่านี้พร้อมจะตายแทนนายทรัมป์ได้ เหมือนคนเสื้อแดงพร้อมจะตายแทนนายใหญ่ในเมืองไทยตราบใดที่ปัจจัยถึง
ปัจจัยอีกอย่างที่ผลักดันให้ ทรัมป์ อาจได้ครองทำเนียบขาวอีกครั้ง คือ คนอเมริกันจำนวนมากเบื่อ เดโมแครต ที่ทุ่มเงินกว่า 3.5 แสนล้านดอลลาร์ ให้นายเซเลนสกี ทำสงครามกับรัสเซียที่ไม่มีวันชนะ คนอเมริกันส่วนใหญ่ตระหนักดีว่าปัจจุบันสหรัฐเป็นหนี้สาธารณะกว่า 30 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่เดโมแครตยังบ้าสงครามทุ่มเงินล้านล้านดอลลาร์ในสงครามอย่างไร้สาระ
ทรัมป์จับทางคนอเมริกันได้ จึงประกาศในนโยบายหาเสียงว่า “หากผมได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี สงครามในยูเครนต้องสงบลงทันที ผมจะให้พวกเขาหาข้อยุติบนโต๊ะเจรจา” เขากล่าวและเน้นย้ำว่า “หากผมยังเป็นประธานาธิบดีตอนนั้น สงครามในยูเครนไม่เกิดขึ้น”
เดโมแครตผู้กระหายสงครามแก้เกมทรัมป์ โดยการปล่อยข่าวว่า อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ยังคงเป็นมิตรที่ดีกับ ประธานาธิบดีวลาดีมีร์ ปูติน ของรัสเซีย ตอนที่เกิดโควิด ทรัมป์ ส่งอุปกรณ์ป้องกันและเวชภัณฑ์ไปให้มอสโก
การแก้เกมแบบเด็กๆ ของเดโมแครต เท่ากับจ่ายบอลเข้าเท้าทรัมป์ เพราะทำให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งมั่นใจมากขึ้นว่าหากเขากลับมาเป็นประธานาธิบดี เขาจะบีบให้เซเลนสกียอมเจรจากับประธานาธิบดีปูติน ถึงวันนั้นคนอเมริกันก็ไม่ต้องใช้ภาษีไปให้เซเลนสกีถลุงเล่น
ส่วนสงครามอิสราเอลกับฮามาสที่บานปลายกลายเป็น อิสราเอลก่อสงครามรอบด้านทั้งกับอิหร่าน เลบานอน ซีเรีย และเยเมน ประเด็นนี้ทั้งทรัมป์และแฮร์ริส อ้ำอึ้งไม่กล้าพูดเต็มปาก ด้วยเหตุว่าอิสราเอลได้แทรกซึมเข้าไปในทุกส่วนของรัฐบาลวอชิงตันและเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อในอเมริกา
ด้านความเครียดในคาบสมุทรเกาหลีและช่องแคบไต้หวัน คิดว่า ทรัมป์ ให้ความสำคัญกับสงครามการค้ามากกว่าสงครามประหัตประหารกัน ทรัมป์เคยเดินข้ามเส้นเขตแบ่ง เกาหลีเหนือ-เกาหลีใต้ ไปจับมือกับ คิม จอง อึน ผู้นำสูงสุดของเปียงยาง เขาพูดระหว่างหาเสียงว่า คิม จอง อึน โหยหาจะพบกับผมอีกครั้ง จึงเชื่อว่าหากทรัมป์ชนะเลือกตั้งความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลีจะลดความร้อนลง
ส่วนผลกระทบต่อประเทศไทยหาก ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดี หลังเลือกตั้ง 5 พฤศจิกายน แน่นอนต้องเกิดผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ การค้า เพราะเขามีนโยบายกีดกันทางการค้า และอเมริกาต้องมาก่อน ส่วนด้านความมั่นคง เชื่อว่ารีพับลิกันไม่แทรกแซงกิจการภายในของประเทศไทยอย่างหนักหนาสาหัสเหมือน เดโมแครต ที่แทรกแซงทั้งการเมืองและความมั่นคง ในทศวรรษแห่งความมืดมนรัฐบาลเดโมแครตโดยประธานาธิบดีบารัค โอบามา เจ้าตำรับปักหมุดเอเชีย สหรัฐแทรกแซงการภายในของไทยอย่างหนัก
สหรัฐตั้งเป้าหมายใช้ฐานทัพอู่ตะเภา เป็นฐานต่อต้านจีน อเมริกันจึงทำทุกทางเพื่อปกป้องพรรคการเมืองที่เป็นเด็กในคาถา สมัยที่คนเสื้อแดงประท้วงรุนแรงกดดันให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้ยุบสภาหรือลาออก มีคนพบเห็นนางคริสตี้ เคนนีย์ทูตสหรัฐประจำประเทศไทยนั่งอยู่หลังเวทีคนเสื้อแดง
ในระหว่างคนเสื้อแดงชุมนุมรุนแรงเจ้าหน้าที่ทูตสหรัฐเดินทางไปภาคอีสาน จัดตั้งวิทยุชุมชนให้คนเสื้อแดงโจมตีเจ้า และมีรายงานว่า ซีไอเอให้ความช่วยเหลือด้านยุทธวิธีและปัจจัยในเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมือง และเมื่อใกล้หมดวาระประธานาธิบดีโอบามา แต่งตั้งนางคริสตี้ เป็นเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ในกระทรวงต่างประเทศ มีทีมงานสิบคนสานต่อนโยบายปักมุดเอเชีย เมื่อทรัมป์ เป็นประธานาธิบดีในปี 2021 เขาปลด คริสตี้ เคนนีย์ และทีมงานออกจากตำแหน่งหน้าที่พร้อมสั่งยกเลิกนโยบายปักหมุดเอเชีย
นับว่าเป็นความโชคร้ายของประเทศในภูมิภาคนี้ เมื่อ โจ ไบเดน เป็นประธานาธิบดีต่อจากทรัมป์ นโยบายแทรกแซงประเทศไทยและเพื่อนบ้านหวนคืนมา ในประเทศไทย ตั้งแต่มีพรรคการเมืองเกิดใหม่ขึ้นมา รับบัญชาจากอเมริกา ปลุกระดมล้างสมองคนรุ่นใหม่ โจมตีใส่ร้าย มุ่งทำลายสถาบันสูงสุดของชาติ ชนิดที่ไม่เคยมีในประวัติศาสตร์ชาติไทย ในเวลาเดียว สถานทูตสหรัฐก็สนับสนุนให้ท้าย ทั้งพรรคการเมืองและคนรุ่นใหม่
ใครก็ตามที่โจมตีใส่ร้ายทำลายสถาบันฯ กลายเป็นแขกประจำสถานทูตอเมริกา และเมื่อจำเลยคดีอาญามาตรา 112 ถูกศาลตัดสินลงโทษจำคุกสถาบันการศึกษาในอเมริกา ก็ออกทุนให้นักโทษหนีศาลไป เป็นนักศึกษาในอเมริกา
นอกจากนั้นพรรคการเมืองที่มีเป้าหมายมุ่งทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ ยังรับคำบัญชาจากรัฐบาลพรรคเดโมแครต ให้ต่อต้านทำลายรัฐบาลทหารพม่า โดยใช้สภาไทยโจมตีทำลายรัฐบาลประเทศเพื่อนบ้าน
จากประสบการณ์ตรงในการทำงาน ทำข่าวกับชาวอเมริกันมากว่าครึ่งศตวรรษจึงกล้าพูดได้ว่า หากกมลา แฮร์ริส จากพรรคเดโมแครตเป็นประธานาธิบดี การแทรกแซงกิจการภายประเทศไทยและเพื่อนบ้านยังร้ายแรงต่อไป
หากนายทรัมป์ในนามพรรครีพับลิกัน ได้เป็นประธานาธิบดี ประเทศไทยจะประสบปัญหาทางการค้า แต่การแทรกแซงกิจการภายในจะลดราลงไป และพรรคการเมืองเกิดใหม่ ที่รับใช้อเมริกาก็จะเฉาตายภายในสามปี
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี