4 อดีตผู้ว่าการแบงก์ชาติ ร่วมกับนักวิชาการ และคณาจารย์ทางด้านเศรษฐศาสตร์..รวมทั้งประชาชนทุกสาขาอาชีพเกือบ 300 คน ลุกขึ้นมาคัดค้านการล้วงลูกของพรรครัฐบาลพรคเพื่อไทยที่จะให้คนของตนเข้าไปเป็นประธานบอร์ดแบงก์ชาติ หรือธนาคารแห่งประเทศไทย
ทั้งนี้ ล่าสุดเมื่อช่วงก่อนเที่ยงวันที่ 31 ตุลาคมเมื่อวานนี้..จากเดิมที่มีผู้ร่วมลงชื่อคัดค้านทั้งหมดในเบื้องต้น 227 คน ก็ได้เพิ่มจำนวนขึ้นมาเป็น 250 คน..จากอดีตผู้ว่าฯแบงก์ชาติ นักวิชาการ คณาจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์..ก็ได้ขยายวงเป็นประชาชนทุกสาขาอาชีพที่เข้ามาร่วมลงชื่อคัดค้านด้วย
การคัดค้านของประชาชนทุกวงการในครั้งนี้..ซึ่งมีอดีตผู้ว่าแบงก์ชาติถึง 4 คน ที่ร่วมลงชื่อ..คือ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล, นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล, ดร.วิรไท สันติประภพ และนางธาริษา วัฒนเกส นั้น..ต้องถือว่าไม่ธรรมดา..เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ..เป็นปัญหาใหญ่ของประเทศ..ถึงขั้นคอขาดบาดตาย..ขืนปล่อยให้พรรคการเมืองส่งคนเข้าไปเป็นประธานบอร์แบงก์ชาติได้ รับรองยุ่งแน่..เนื่องจากเท่ากับว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยที่เป็นหน่วยงานอิสระถูกครอบงำโดยอำนาจทางการเมือง
สำหรับการคัดเลือกประธานบอร์ดแบงก์ชาติ หรือประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คนใหม่ แทนนายปรเมธี วิมลศิริ ที่หมดวาระไปเมื่อวันที่ 16 กันยายนที่ผ่านมา รวมทั้งคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิอีก 2 คน..จะมีการพิจารณาในวันที่ 4 พฤศจิกายนนี้..โดยคณะกรรมการสรรหาที่มีนายนายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ อดีตปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธาน
ตำแหน่งประธานบอร์ดแบงก์ชาตินั้น..รัฐบาลพรรคเพื่อไทย..ต้องการที่จะให้นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ และอดีตที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีในยุครัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน เข้าไปนั่งตำแหน่งนี้
ถ้าหากว่าพรรคเพื่อไทยสามารถยึดกุมตำแหน่งประธานบอร์ดแบงก์ชาติไว้ได้..นั่นก็หมายถึงชะตากรรมของประเทศ ต้องตกอยู่ในมือของอดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ทั้งด้านการเมืองและเศรษฐกิจ
เพราะบอร์ดแบงก์ชาติมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง..อาทิ การกำกับดูแลการบริหารงาน, การจัดการทุนสำรองระหว่างประเทศ, การคัดเลือกกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการต่างๆ..โดยเฉพาะคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ซึ่งทำหน้าที่สำคัญในการกำหนดอัตราดอกเบี้ยและอัตราแลกเปลี่ยน อันเป็นเครื่องมือสำคัญของการดำเนินนโยบายการเงิน
หากบอร์ดแบงก์ชาติใช้อำนาจหน้าที่เพื่อตอบสนองผลประโยชน์ระยะสั้นของฝ่ายการเมือง..ย่อมส่งผลเสียต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และอาจเกิดความเสียหายที่ไม่สามารถย้อนกลับได้..ดังที่ผู้ยื่นหนังสือคัดค้านการแต่งตั้งประธานบอร์ดแบงก์ชาติทักท้วง
เป็นต้นว่า การคัดเลือกคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ซึ่งทำหน้าที่สำคัญในการกำหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และอัตราแลกเปลี่ยน..ซึ่งถ้าหาก กนง.เป็นคนของพรรคการเมือง..ลองนึกภาพดู..ก็เหมือนกับเวลานี้ที่พรรคเพื่อไทยต้องการให้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ตนต้องการ..แต่ทาง กนง.โดยแบงก์ชาติ ที่มี“ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ”ผู้ว่าฯแบงก์ชาติคนปัจจุบัน..ไม่ยอมศิโรราบหรือเออออด้วย..จึงสร้างความไม่พอใจให้แก่รัฐบาลพรรคเพื่อไทย
นอกจากนั้น ก่อนเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีของ“มาดามแพ”..ซึ่งอยู่ในช่วงรัฐบาลของนายเศรษฐา ทวีสิน, “แพทองธาร ชินวัตร”ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย ก็เคยออกมาโจมตีแบงก์ชาติบนเวทีแสดงวิสัยทัศน์ในงาน“10 เดือนที่ไม่รอ ทำต่อให้เต็ม 10”เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2566..โดยระบุว่า..ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นตัวปัญหาและอุปสรรคของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ
“แพทองธาร ชินวัตร”ซึ่งใครก็รู้ว่าสติปัญญามีน้อยนิด คงจะแสดงวิสัยทัศน์ตามที่มีคนเขียนบทหรือสั่งให้พูด ได้กล่าวโจมตีแบงก์ชาติบนเวทีในวันนั้นและถูกสังคมตีกลับว่า “ตอนนี้กฎหมายพยายามที่จะให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นอิสระจากรัฐบาล เรื่องนี้ถือว่าเป็นปัญหาและอุปสรรคสำคัญมากๆ ในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ..ถ้านโยบายการเงินที่บริหารโดยธนาคารแห่งประเทศไทย ไม่ยอมที่จะเข้าใจ และไม่ยอมให้ความร่วมมือ ประเทศของเราจะไม่มีทางลดเพดานหนี้ได้เลย”
วิสัยทัศน์ดังกล่าวของ“แพทองธาร ชินวัตร” อย่างน้อยประการหนึ่งแสดงให้เห็นว่า..เธอโง่เขลาเบาปัญญา จะด้วยใครยัดปากให้พูดหรือพูดเองก็ตาม..เพราะไม่เข้าใจถึงบทบาทและหน้าที่ของแบงก์ชาติ..เพราะทุกประเทศบนโลกใบนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องมีอิสระในการทำงาน และปลอดการแทรกแซงจากอำนาจฝ่ายการเมือง
ผลจากการแสดงวิสัยทัศน์ครั้งนี้“มาดามแพ”จึงถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า“ล้ำเส้นแบงก์ชาติ”..และที่เธอพูดก็คือการสะท้อนความไม่พอใจในหลายเรื่องๆ ของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่มีต่อ ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ในฐานะผู้ว่าฯแบงก์ชาติ..เช่น โครงการ“แจกเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท”ที่มีการท้วงติงจากผู้ว่าฯแบงก์ชาติ
ดังนั้น หากปล่อยให้ฝ่ายการเมืองโดยรัฐบาลพรรคเพื่อไทยเข้าไปล้วงลูกแต่งตั้งประธานบอร์ดแบงก์ชาติได้..เรื่องแรกก็คือเก้าอี้ผู้ว่าฯแบงก์ชาติของ ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ จะต้องร้อนลุกเป็นไฟแน่..ก่อนจะครบวาระ 5 ปีในสิ้นเดือนกันยายน 2568
สำคัญที่สุดก็คือ “ทุนสํารองระหว่างประเทศ”ของไทยที่มีมากกว่า 9 ล้านล้านบาท..ซึ่งในจำนวนนี้มีทองคำและเงินจากกองทุน“ผ้าป่าช่วยชาติ”ของ“หลวงตามหาบัว”ที่มอบให้แก่ธนาคารแห่งประเทศไทยรวมอยู่ด้วยประมาณ 1 พันล้านบาท..น่าหวั่นวิตกว่าอาจจะมีการล้วงออกมาถลุงแบบ“ลด-แลก-แจก-แถม” เพื่อหาคะแนนนิยมแต่ใช้เงินหลวง ภายใต้คำขวัญ“คิดใหญ่ ทำเป็น”ของพรรคเพื่อไทย
เพราะรัฐบาลพรรคเพื่อไทยภายใต้ปีกเงาของ“ทักษิณ ชินวัตร”..คิดอะไรทำอะไรก็มักจะก่อให้เกิดความระแวงสงสัยและหวั่นวิตกในหมู่ประชาชน
ขนาดเรื่องเกาะกูด คนไทยทั่วไปเห็นว่าอาจจะขายชาติกินแบบ“ไทยครึ่งหนึ่ง-เขมรครึ่งหนึ่ง”..ก็ยังถูกแว้งกลับกลายเป็นว่า..“ความรักชาติ”ของคนไทยที่ลุกขึ้นมาคัดค้านปกป้องอธิปไตยเหนือดินแดนของเราเป็น“ความคลั่งชาติ” !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี