วันที่ 31 ตุลาคม 2567 นายนพดล ปัทมะ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ผ่านระบบซูมกับรายการ “สีสันการเมือง แบบ เด้งเด้ง” โดยบุญระดม จิตรดอน ทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ในประเด็นความกังวลของประชาชนชาวไทยกับการที่รัฐบาลไทยต้องการเจรจาแบ่งปันทรัพยากรพลังงานกับรัฐบาลกัมพูชา ซึ่งมีเรื่องอ่อนไหวเกี่ยวกับเส้นเขตแดนโดยเฉพาะเกาะกูด ว่า
ด้านหนึ่ง-ตนเห็นประชาชนสนใจเรื่องนี้มาก
แต่อีกด้าน-ก็พบการทำปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร (ไอโอ-IO) เพื่อบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมือง
โดยเท่าที่เห็นการเผยแพร่เนื้อหาในสื่อสังคมออนไลน์ มีการบอกว่ารัฐบาลจะยกเกาะกูดให้กัมพูชาบ้างหรือบอกว่าบันทึกความตกลงร่วม (เอ็มโอยู-MOU) เมื่อปี 2544 หรือ MOU44 จะทำให้ไทยเสียเกาะกูดบ้าง
ตนขอยืนยันว่า ณ ปัจจุบัน เกาะกูดยังเป็นของไทยไม่ใช่ของกัมพูชา เพราะตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส 2450 (Franco–Siamese Treaty of 1907) ระบุชัดว่า เกาะกูดเป็นของไทย และตอนนี้เกาะกูดก็เป็นอำเภอหนึ่งใน จ.ตราด
นอกจากนั้น ตนได้ตรวจสอบกับทางกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ ก็ไม่พบว่ากัมพูชาเคยอ้างสิทธิ์เหนือเกาะกูด ดังนั้น เกาะกูดอยู่ในเขตอำนาจอธิปไตยของไทยล้านเปอร์เซ็นต์
ส่วนประเด็นพื้นที่ทับซ้อน 26,000 ตารางกิโลเมตรที่ MOU44 ไปรับรอง จนทำให้เกิดข้อกังวลว่าอาจจะกลายเป็นของกัมพูชาหรือไม่ ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า MOU44 ทั้งไทยและกัมพูชาต่างประกาศเขตไหล่ทวีปทับซ้อนกัน ซึ่งทั้ง 2 ชาติ ต่างอ้างสิทธิ์ตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล 2525 (UNCLOS 1982)
โดยกัมพูชาบอกว่าอ้างสิทธิ์ตามนั้น ส่วนไทยก็อ้างเช่นกันโดยประกาศในปี 2515 หรือ 2516 จึงเกิดการทับซ้อนกัน ซึ่งแบ่งได้ 2 ส่วน หากดูแผนที่ประกอบ คือ
1.ส่วนด้านบน ประมาณ 10,000 ตารางกิโลเมตร เป็นพื้นที่ที่ต้องมาแบ่งเขตทางทะเล
กับ 2.ส่วนด้านล่าง หรือใต้เส้น 11 องศาเหนือลงมา ประมาณ 16,000 ตารางกิโลเมตร ใช้คำว่าเขตพัฒนาร่วม (Joint Development Area) แต่ต้องย้ำว่า MOU44 ไทยไม่ได้ยอมรับเส้นไหล่ทวีปที่กัมพูชาประกาศ แต่ในทางกลับกัน กัมพูชาก็ไม่ยอมรับเส้นไหล่ทวีปที่ไทยประกาศ
ซึ่งเมื่อทั้ง 2 ฝ่ายต่างไม่ยอมรับ ก็ไม่สามารถใช้ประโยชน์จากพื้นที่นั้นได้ และมีเพียง 2 ทางเลือก คือ
1.ทำสงคราม รบกันให้แพ้-ชนะไปข้างหนึ่ง อย่างที่เห็นรัสเซียทำสงครามแย่งชิงดินแดนกับยูเครน กับ 2.เจรจาโดยสันติวิธี อย่างประเทศที่มีความศิวิไลซ์ 2 ชาติเลือกเจรจาไม่รบกัน โดยไทยและกัมพูชาเลือกอย่างหลัง จึงเป็นที่มาของ MOU44 ที่ไทยไม่ได้ยอมรับการประกาศไหล่ทวีปของกัมพูชา แต่เป็นการที่ทั้ง 2 ชาติมาตกลงกันในสิ่งซึ่งตกลงไม่ได้ เป็นกลไกในการเจรจาเท่านั้นเอง
ส่วนที่มีข้อมูลว่า แม้กัมพูชาจะอ้างกฎหมายระหว่างประเทศอย่าง UNCLOS แต่กัมพูชาก็ไม่ได้เข้าร่วมอนุสัญญา UNCLOS เพราะเกรงว่าเข้าแล้วจะทำให้เสียเปรียบประเทศเพื่อนบ้านในการเจรจา ประเด็นนี้ต้องบอกว่า 1.UNCLOS เป็นกฎหมายจารีตที่ผูกพันแม้ประเทศนั้นจะไม่ได้เข้าเป็นสมาชิกก็ตาม ซึ่งกฎหมายระหว่างประเทศในหลายเรื่องแม้เราไมได้เป็นสมาชิก เช่น กฎหมายว่าด้วยการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และอาชญากรรมสงคราม
2.ไทยจำเป็นต้องปฏิบัติตามพันธกรณีระหว่างประเทศ ซึ่งก็คือ กฎหมายระหว่างประเทศ ดังนั้นกัมพูชาไม่สามารถเลือกเอาแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์กับตนเองได้ ต้องปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศ เพราะอย่างน้อยกัมพูชาก็เข้าเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติ (UN) ดังนั้น การเจรจาในอนาคตก็ต้องอยู่ในกรอบของ UNCLOS 1982 เพราะเป็นหนึ่งในกฎหมายระหว่างประเทศของสหประชาชาติ
“กลไกในการเจรจาก็คือคณะกรรมการเทคนิคร่วมไทย-กัมพูชา หรือ Joint Technical Committee (JTC) ซึ่งในอดีตก็มี ผมเข้าใจว่ารองนายกฯ ท่านหนึ่งก็แล้วกัน ลองไปหาข้อมูลดู ก่อนรัฐบาลเศรษฐา ท่านเป็นประธาน JTC ในรัฐบาลนี้ยังไม่ได้ตั้ง ยังไม่ได้เข้าคณะรัฐมนตรี ฉะนั้นกลไกในการเจรจา JTC ยังไม่เกิดขึ้น เห็นมีพรรคการเมืองหนึ่งเรียกร้องที่จะให้บอกว่า MOU44 จะทำให้เสียดินแดน แต่มันก็มีการตั้งคำถามว่าแล้วในอดีตทำไมไปเจรจาบนพื้นฐานของ MOU44 ลองไปคิดดูนะ
ผมไม่คิดว่า MOU44 ทำให้ไทยเสียดินแดน” นายนพดล กล่าว
นายนพดล กล่าวต่อไปว่า คนที่ลงนาม MOU44 คือนายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายระหว่างประเทศในระดับหาตัวจับยาก ตนจึงไม่คิดว่านายสุรเกียรติ์จะเพลี่ยงพล้ำให้กับฝ่ายกัมพูชา ดังนั้น การเจรจาต้องอยู่บนพื้นฐานของกฎหมายระหว่างประเทศ ไม่ว่ากัมพูชาจะเป็นหรือไม่เป็นภาคีก็ตาม
เรื่องนี้ก็ต้องย้ำว่า ไทยไม่ได้ไปยอมรับเส้นที่กัมพูชาลาก ดังนั้น ตามกฎหมายระหว่างประเทศจึงไม่มีผลผูกพันใดๆ กับไทย กัมพูชาจะลากอย่างไรก็เรื่องของเขา หากเราไม่ยอมรับก็ไม่ผูกพัน ส่วนที่มีการพูดถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย กับ ฮุนเซ็น อดีตนายกรัฐมนตรีของกัมพูชา ดังนั้นจะเป็นอย่างไรหากให้นายทักษิณเข้ามาร่วมเจรจาเพื่อยุติปัญหาที่ยืดเยื้อยาวนานนี้ ตนขอเรียนด้วยความบริสุทธิ์ใจ ว่าเป็นเรื่องของคณะกรรมการเทคนิคร่วม หรือ JTC ที่จะเป็นกลไกหลักในการเจรจา
โดยคณะกรรมการนี้จะประกอบด้วยปลัดกระทรวงการต่างประเทศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย เจ้ากรมอุทกศาสตร์ทหารเรือ ด้านความมั่นคงครบถ้วน ดังนั้น ไม่มีเกี๊ยะเซียะ และตนคิดว่าอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร คงไม่ได้เกี่ยวข้องในการเจรจา และเป็นการเจรจาที่ยึดถือผลประโยชน์ของชาติเป็นหลักอย่างไรก็ตาม ยังไม่ทราบว่า ครม. จะตั้งใครเป็นประธานคณะกรรมการ อย่าง JTC ชุดก่อน มีรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคงเป็นประธาน
ส่วนรัฐบาลปัจจุบันที่มี นายภูมิธรรม เวชยชัย เป็นรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ก็ยังไม่รู้จะดำเนินการอย่างไร แต่ก็คงไม่นาน น่าจะมีการขับเคลื่อน ซึ่งที่มีการจุดประเด็นขึ้นมาตนคิดว่าดีแล้ว แต่ขอให้จุดประเด็น อย่าจุดกระแส คือ เอาความจริงมาพูดกัน โดยคนเป็น รมว.ต่างประเทศ ต้องฟังกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย เจ้ากรมอุทกศาสตร์ เจ้ากรมแผนที่ทหาร สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ผู้บัญชาการทหารบก คือ มีกลไกในการหารือกันอยู่แล้ว ไม่ว่าใครจะมาเป็นผู้บริหารก็ตาม
ส่วนคำถามว่า ในเมื่อทั้งเกาะกูดและพื้นที่ทางทะเลเป็นของไทย เหตุใดต้องแบ่งผลประโยชน์ทางพลังงานกับกัมพูชาด้วย
นายนพดลอธิบายว่า ในส่วนของเกาะกูดชัดเจนอยู่แล้วว่าเป็นของไทย ส่วน MOU44 จะมี 2 พื้นที่ ส่วนที่อยู่เหนือเส้น 11 องศาเหนือขึ้นไป เป็นเรื่องการแบ่งเขตแดน (Delimitation) หรือแบ่งพื้นที่ทางทะเล แต่ส่วนที่อยู่ใต้เส้น 11 องศาเหนือลงไป เป็นเขตพัฒนาร่วม เพราะตามกฎหมายระหว่างประเทศ เขตแดนคือ 12 ไมล์ทะเลจากเส้นฐาน (Baseline) ออกไป ประเทศจะมีอำนาจอธิปไตยเต็มที่ เช่น เรื่องภาษี เรื่องการศุลกากร
แต่เลยจากนั้นออกไปอีก 12 ไมล์ทะเล จะเรียกว่าเขตต่อเนื่อง (Contiguous Zone) และต่อจากนั้นออกไปอีกก็จะเป็นเขตเศรษฐกิจจำเพาะ (Exclusive Economic Zone) หรือประกาศเขตไหล่ทวีป ซึ่งแต่ละประเทศจะไม่ได้มีอำนาจสมบูรณ์ และในเมื่อเกิดการซ้อนกันแล้วจะให้ทำอย่างไร ซึ่งตนก็ไม่ได้อยากให้มีพื้นที่ทับซ้อน แต่ประเทศที่มีชายแดนใกล้ๆ ติดกัน พอประกาศเขตออกไป 200 ไมล์ทะเล มันซ้ำซ้อนกันโดยสภาพอยู่แล้ว
เช่น มหาสมุทรที่กั้นระหว่างประเทศญี่ปุ่นกับมลรัฐฮาวายของสหรัฐอเมริกา ไม่มีพื้นที่ทับซ้อนอยู่แล้ว แต่ทะเลอ่าวไทยกับทะเลจีนใต้ บริเวณ จ.ตราด ของไทย กับเกาะกงของกัมพูชา มันใกล้ชิดกัน ประกาศ 200 ไมล์ทะเล อย่างไรก็ซ้อนกัน และการพัฒนาร่วมกันก็มีตัวอย่างแล้ว คือเขตพัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย ที่แบ่งปันทรัพยากรน้ำมันร่วมกัน ปัจจุบันก็ยังมีสถานะเป็นพื้นที่ทับซ้อนแต่มีการพัฒนาร่วมกัน เนื่องจากใช้กฎหมายทะเลในลักษณะที่ว่าในเมื่อยังทะเลาะกันไม่จบ แบ่งเขตยังไม่ได้ก็เอามาพัฒนาร่วมกัน ผลประโยชน์หาร 2 ไทยกับมาเลเซียคนละครึ่ง
แต่กรณีอ่าวไทยจะทำแบบเดียวกันหรือไม่ ตนว่ารัฐบาลชุดนี้จะไม่ทำแบบนั้น เพราะใน MOU44 ระบุว่าการเจรจาเขตแดนเหนือเส้น 11 องศาเหนือ และการพัฒนาร่วมใต้เส้น 11 องศาเหนือ แยกจากกันมิได้(Indivisible Package) คือต้องเจรจาควบคู่กันไป ดังนั้นการจะตกลงกันว่าเรามาพัฒนาร่วมกันก่อนแล้วค่อยพูดคุยเรื่องเขตแดนจึงไม่สามารถทำได้ ทั้ง 2 ส่วนมีผลผูกกันไม่สามารถเลือกทำเฉพาะอย่างใดอย่างหนึ่งได้ แต่ย้ำว่า MOU44 ไม่ใช่การยอมรับเส้นไหล่ทวีปของกัมพูชา เป็นเพียงกลไกในการมาพูดคุยกัน เพราะมีการอ้างสิทธิ์ทางทะเลซ้อนกัน
“ท่านมองว่าถ้าเกิดการฟ้องร้องกันในอนาคต ศาลโลกจะยึดเอา MOU44 เป็นผลร้ายต่อไทย ซึ่งผมคิดว่าไม่ใช่ เพราะ MOU44 ไม่ได้ตกลงอะไรกัน มันเป็นการตระหนักว่าเส้นที่คุณอ้างเราไม่ยอมรับถึงต้องพูดคุยกันเท่านั้นเอง มันไม่ได้ไปบอกว่าเรายอมรับเส้นของกัมพูชา ไม่ได้ถูกอ้างเป็นผลร้าย แล้วถ้าสมมุติไม่ใช่ MOU44 นะ ยกเลิก MOU44 แล้วไปเจรจา รัฐบาลจะถูกด่า เขาก็จะบอกว่าอยากได้ผลประโยชน์ทางพลังงานจนตัวสั่นเลยไปเจรจาพัฒนาร่วมกันโดยไม่คำนึงถึงเขตแดน คือจะไปซ้ายหรือขวาก็โดนด่า เลือกไปทิศที่ถูกต้องดีกว่า” นายนพดลกล่าวย้ำ
ด้าน นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ว่า #ตอบคุณนพดลเรื่องMOU 44 วันนี้นายนพดลจากพรรคเพื่อไทย ก็ออกมาพูดเรื่องเกาะกูด และ MOU 44 เหมือนเดิมนั่นคือ
• เกาะกูดเป็นของไทย ไม่มีใครยกเกาะกูดให้กัมพูชาได้
สิ่งที่รัฐบาลต้องตอบ ถ้าเกาะกูดเป็นของไทย ไหล่ทวีปรอบเกาะกูด 200 ไมล์ ทะเลต้องเป็นของไทยด้วยทำไมคุณจึงยอมรับเขตทางทะเล ไหล่ทวีปรอบเกาะกูด ว่าเป็นของกัมพูชา ตามแผนที่แนบท้าย MOU 44
• ไม่อยากให้นำเรื่องพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลมาบิดเบือนใส่ร้าย
พื้นที่ทับซ้อนทางทะเล จะไม่เกิดขึ้น แต่เพราะพวกคุณไปยอมรับเส้นไหล่ทวีป(แบ่งเขตทางทะเล)ของกัมพูชา ที่ลากผ่านเกาะกูดและออกไปที่อ่าวไทย ลากมาแบบตามใจชอบ ไม่มีหลักกฎหมายรองรับ การที่รัฐบาลไปยอมรับเส้นนี้ จึงเกิดพื้นที่ทับซ้อน ทำไมรัฐบาลจึงไปยอมรับเส้นแบ่งเขตนี้
• ถ้ารักชาติจริงต้องเอาความจริงและข้อกฎหมายมาพูด
ผมคิดว่าประชาชนที่รักชาติ ล้วนเอาข้อเท็จจริงและอ้างกฎหมายมาพูดทั้งสิ้น มีแต่ฝ่ายรัฐบาลที่วนเวียน แต่ไม่แจงข้อสงสัยของประชาชน ที่ซ้ำร้ายยังใช้วาทกรรม“คลั่งชาติ” มาตำหนิประชาชนที่ห่วงใย
• หากยังมีการปั่นแสโจมตี ระบุชัดเจนว่า พรรคเพื่อไทยทำให้ประเทศไทยเสียเกาะกูด คิดว่าคงต้องมีการดำเนินการตามกระบวนการกฎหมายต่อไป
ประชาชนเขาตำหนิรัฐบาล ส่วนพรรคเพื่อไทยจะเดือดร้อนแทนหรือไม่ ก็อยู่ที่สำนึกในแผ่นดิน ที่สำคัญเรื่องนี้ถ้าคุณไม่สามารถให้รัฐบาลชี้แจงแต่อ้างดำเนินคดีตามกฎหมาย ต้องติดตามไปเรื่อยๆว่าใครจะถูกดำเนินคดี
ที่สำคัญรัฐบาลต้องชี้แจงด้วยว่า เมื่อเกิดพื้นที่ทับซ้อน ทำไมไม่เจรจาเขตแดนให้จบ ก่อนที่จะแบ่งปันผลประโยชน์ แต่กลายเป็นเจรจาเขตแดนบางส่วน บางส่วนไม่ยอมเจรจาเขตแดน ประชาชนเขาเกรงว่าจะเป็นเงื่อนไขให้ประเทศต้องเสียดินแดนในอนาคต
“ทางออกที่ดีคือยกเลิก MOU44 และเริ่มเจรจาใหม่ทั้งหมด บนหลักผลประโยชน์และเขตแดนของประเทศอย่างแท้จริง เหมือนที่เจรจากับมาเลเซีย” นพ.วรงค์กล่าว
สรุป : เรื่องนี้ ปัญหาอยู่ที่ รัฐบาลไม่นำคนที่มีอำนาจตัวจริงในเรื่องนี้มาสื่อสาร มาย้ำในข้อเท็จจริงและประกาศตัดขาดจาก MOU44 ซึ่งมติคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ยกเลิกไปแล้ว เพื่อสร้างความไว้วางใจ ได้แต่ส่งลิ่วล้อบริวารมีโต้ตอบโดยเฉพาะวาทกรรม “คลั่งชาติ-ขายชาติ”
ในเมื่อมีทั้งข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย และสื่อของรัฐอยู่ในมือ ไยไม่แถลงทำความเข้าใจกับสังคมให้เป็นกิจจะลักษณะเสียที!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี