วันนี้ 4 พฤศจิกายน 2567 พรรคเพื่อไทยโดยอดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร จะยอมถอยหรือไม่เรื่อง“ประธานบอร์ดแบงก์ชาติ” ซึ่งนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีมนตรี และรัฐมนตรีว่ากากระทรวงการคลัง ในนามรัฐบาลพรรคเพื่อไทยได้เสนอนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง เข้าไปชิงตำแหน่ง ถ้ายอมก็ต้องให้นายกิตติรัตน์ถอนชื่อเพื่อสละสิทธิ์
เพราะเวลานี้มีเสียงคัดค้านต่อต้านดังกระหึ่มไปทั่ว ถ้าหากว่านายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ได้รับการคัดเลือกให้เป็นประธานบอร์ดแบงก์ชาติแทนนายปรเมธี วิมลศิริ ประธานบอร์ดแบงก์ชาติ ที่เพิ่งจะพ้นวาระไปเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2567
ในอีกทางหนี่ง หากนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ไม่ยอมถอนตัว ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคณะกรรมการสรรหา 7 คน ว่าจะดันทุรังมีมติเห็นชอบให้นายกิติรัตน์เป็นประธานบอร์ดแบงก์ชาติท่ามกลางเสียงคัดค้านต่อต้านหรือไม่
คณะกรรมการสรรหาชุดนี้มีนายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ อดีตปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธาน ส่วนกรรมการอีก 6 คน ประกอบด้วย นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร อดีตปลัดกระทรวงพาณิชย์, นายวิฑูรย์ สิมะโชคดี อดีตปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม, นายวรวิทย์ จำปีรัตน์ อดีตผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ, นายอัชพร จารุจินดา อดีตเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา, นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา อดีตเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลัก (ก.ล.ต.) และนายสุทธิพล ทวีชัยการ อดีตเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.)
ต้องดูว่าคณะกรรมการสรรหา หรือมีชื่อเต็มว่า “คณะกรรมการสรรหาประธานคณะกรรมการแห่งประเทศไทยและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย” จะมีมติออกมาอย่างไรในการประชุมวันที่ 4 พฤศจิกายนวันนี้ หรือว่าจะขยายเวลาออกไปอีก หลังจากที่เคยขยายเวลามาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ 8 ตุลาคมเดือนที่แล้ว ด้วยเหตุผลที่อ้างอย่างเป็นทางการว่า “เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล-เพื่อให้การพิจารณาคัดเลือกมีความรอบคอบที่สุด”
สำหรับแคนดิเดตประธานบอร์ดแบงก์ชาติ หรือประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ผ่านเข้ามาสู่รอบตัดสินในชั้นสุดท้าย มีทั้งหมด 3 คน ซึ่งนอกจากนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ที่เสนอโดยรัฐบาลแล้ว อีกสองคนเป็นบุคคลที่เสนอโดยธนาคารแห่งประเทศไทย คือ นายกุลิศ สมบัติศิริ อดีตปลัดกระทรวงพลังงาน และนายสุรพล นิติไกรพจน์ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ใน 3 คนนี้มีเพียงนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง เพียงคนเดียวเท่านั้น ที่วิญญูชนและสุจริตชนในประเทศนี้ ซึ่งไม่ได้ถือหางพรรคเพื่อไทย หรือเป็นข้าทาสบริวารของอดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร มิอาจยอมรับได้ เพราะเกรงกันว่านายกิตติรัตน์จะเป็นสะพานทอดให้ฝ่ายการเมืองใต้เงา“ระบอบทักษิณ”เข้าไป“ล้วงตับ”ในธนาคารแห่งประเทศไทย หากได้รับเลือกเป็นประธานบอร์ดแบงก์ชาติ
แม้ว่านักการเมืองใหญ่น้อยของพรรคเพื่อไทยจะเรียงหน้ากันออกมาปฏิเสธว่า นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับพรรคเพื่อไทยอีกแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่มีใครเขาเชื่อ เพราะการเซ็นหนังสือลาออกจากทุกตำแหน่งในพรรคเพื่อไทยของนายกิตติรัตน์ ก็แค่เงื่อนไขทางนิตินัยเท่านั้น แต่ในทางพฤตินัยไม่มีทางที่จะ“หยุดการเมืองแทรกแซงแบงก์ชาติ”ตามเสียงเรียกร้องต่อต้านของกลุ่มพลังต่างๆ ที่แสดงออกด้วยความสุจริตใจกันอยู่ในเวลานี้ได้
ด้วยว่ากันตามจริงแล้ว นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง เป็นนักการเมืองของพรรคเพื่อไทยทั้งตัวและหัวใจ เคยเป็นอดีตรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และอดีตประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทย ส่วนตำแหน่งทางการเมือง เคยเป็นอดีตรองนายกรัฐมนตรี, อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และล่าสุดเพิ่งจะพ้นจากตำแหน่งประธานที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี-เศรษฐา ทวีสิน พร้อมกับการพ้นจากตำแหน่งของนายเศรษฐาเรื่องแต่งตั้ง“ทนายถุงขนม”
ปูมหลังของนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง วัย 66 ปีผู้นี้ เคย“โกหกสีขาว” หรือ“white lie”เป็นข่าวฉาวกระฉ่อนเมืองมาแล้ว 2 ครั้ง สมัยเป็นรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จนถูกเรียกขานว่า“Mr.White lies”
ครั้งแรกเมื่อปี 2555 สมัยเป็นรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้โกหกเรื่อง“เป้าการส่งออกของไทย”ที่อ้างตัวเลขไม่จริง โดยตัวเลขจริงขยายตัวเพียงแค่ประมาณร้อยละ 5-7 เท่านั้น ไม่ใช่ร้อยละ 15 ดังที่นายกิตติรัตน์อ้าง พอถูกจับได้ก็แก้ตัวว่าเป็นการ“โกหกสีขาว” เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศ
อีกครั้งหนึ่งในปี 2556 ในช่วงที่นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รักษาการเป็นรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้“โกหกสีขาว”เพื่อจะกู้เงินจำนวน 1.3 แสนล้านบาทมาใช้ในโครงการรับจำนำข้าว ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าเป็นเรื่องที่ไม่อาจทำได้ เพราะเป็นรัฐบาลรักษาการ แต่นายกิตติรัตน์ก็ยังดึงดันเสนอคณะรัฐมนตรีและคณะกรรมการการเลือกตั้งเพื่อขออนุมัติ โดยอ้างว่าเป็นโครงการต่อเนื่องไม่ใช่เป็นการก่อหนี้ใหม่
มาถึงวันนี้, ถ้านายกิตติรัตน์ ณ ระนอง หลุดเข้าไปเป็นประธานบอร์ดแบงก์ชาติได้ หากไป“โกหกสีขาว”แบบนั้นอีก ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม เห็นทีว่าระบบเศรษฐกิจและระบบการเงินของประเทศ“เรือหาย”แน่!
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี